เรื่องราวชวนน้ำตาซึมในสายสัมพันธ์ที่ค่อย
ๆ ก่อตัวขึ้นระหว่างคนและน้องหมา เมื่อต่างคนต่างได้ช่วยชีวิตกันและกัน เป็นเพื่อนร่วมเส้นทางสู่การเปลี่ยนแปลงที่พลิกชีวิตผู้เป็นเจ้าของขึ้นใหม่
อีกครั้ง แม้สุดท้ายต้องจบด้วยการจากลาตลอดกาล
สุนัข นอกจากจะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์แล้ว ยังมีผลการศึกษาหลาย ๆ ชิ้นในช่วงที่ผ่านมา บ่งชี้ว่า การเลี้ยงสุนัขยังทำให้ผู้เป็นเจ้าของสุขภาพดีขึ้นด้วย และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ "อีริค โอเกรย์" ชายร่างท้วมชาวอเมริกัน จากซานโฮเซ รัฐแคลิฟอร์เนีย ได้พบกับเจ้า "พีตี้" สุนัขตัวใหญ่สีขาว-ดำ ซึ่งเขาตัดสินใจรับเลี้ยงมาจากศูนย์ Humane Society Silicon Valley ในละแวกบ้าน
เว็บไซต์ NPR ได้หยิบยกหนังสั้นซึ่งเป็นเรื่องราวระหว่างอีริคและพีตี้มาให้ชม โดยคู่ 1 คน 1 ตูบนี้ ได้รับเลือกจากทางศูนย์ให้เป็นตัวอย่างนำเสนอความสัมพันธ์แบบ Mutual Rescue คือทั้งคนและหมาต่างช่วยชีวิตกันและกัน แต่ในคำจำกัดความง่าย ๆ นี้ ยังได้ซ่อนมิตรภาพและความผูกพันเกินประมาณค่าได้ ระหว่างอีริคกับเจ้าพีตี้เอาไว้ด้วย
ในปี 2010 อีริค ในวัย 51 ปี เผชิญวิกฤตด้านสุขภาพอย่างเลวร้าย เขามีน้ำหนักตัวถึง 145 กิโลกรัม ต้องเสียค่ายาตกเดือนละ 35,000 บาท เพื่อเยียวยาโรคเบาหวานประเภท 2, ความดันโลหิตสูง และระดับคอเลอเตอรอลสูงจัด แพทย์ถึงกับแนะนำให้เขาเตรียมซื้อที่ไว้ฝังศพตัวเองได้แล้ว เพราะดูอาการเขาแล้วไม่น่ามีชีวิตอยู่ได้เกินอีก 5 ปี
สุนัข นอกจากจะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์แล้ว ยังมีผลการศึกษาหลาย ๆ ชิ้นในช่วงที่ผ่านมา บ่งชี้ว่า การเลี้ยงสุนัขยังทำให้ผู้เป็นเจ้าของสุขภาพดีขึ้นด้วย และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ "อีริค โอเกรย์" ชายร่างท้วมชาวอเมริกัน จากซานโฮเซ รัฐแคลิฟอร์เนีย ได้พบกับเจ้า "พีตี้" สุนัขตัวใหญ่สีขาว-ดำ ซึ่งเขาตัดสินใจรับเลี้ยงมาจากศูนย์ Humane Society Silicon Valley ในละแวกบ้าน
เว็บไซต์ NPR ได้หยิบยกหนังสั้นซึ่งเป็นเรื่องราวระหว่างอีริคและพีตี้มาให้ชม โดยคู่ 1 คน 1 ตูบนี้ ได้รับเลือกจากทางศูนย์ให้เป็นตัวอย่างนำเสนอความสัมพันธ์แบบ Mutual Rescue คือทั้งคนและหมาต่างช่วยชีวิตกันและกัน แต่ในคำจำกัดความง่าย ๆ นี้ ยังได้ซ่อนมิตรภาพและความผูกพันเกินประมาณค่าได้ ระหว่างอีริคกับเจ้าพีตี้เอาไว้ด้วย
ในปี 2010 อีริค ในวัย 51 ปี เผชิญวิกฤตด้านสุขภาพอย่างเลวร้าย เขามีน้ำหนักตัวถึง 145 กิโลกรัม ต้องเสียค่ายาตกเดือนละ 35,000 บาท เพื่อเยียวยาโรคเบาหวานประเภท 2, ความดันโลหิตสูง และระดับคอเลอเตอรอลสูงจัด แพทย์ถึงกับแนะนำให้เขาเตรียมซื้อที่ไว้ฝังศพตัวเองได้แล้ว เพราะดูอาการเขาแล้วไม่น่ามีชีวิตอยู่ได้เกินอีก 5 ปี
แต่แล้วอีริคก็เจอเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้มาถึงจุดเปลี่ยน เขาตัดสินใจรับการรักษาตามวิถีธรรมชาติ
แต่คำแนะนำแรกที่เขาได้มา นอกจากให้ปรับเรื่องอาหารการกิน ก็คือ "ลองรับน้องหมาที่เป็นเหมือนกับคุณมาเลี้ยงดูสิ"
อีริคตรงดิ่งไปยังศูนย์ช่วยเหลือเพื่อมนุษยธรรมใกล้ ๆ บ้าน ขอรับอุปการะสุนัขที่เป็น "สุนัขผู้ใหญ่ตัวอ้วน" และเขาก็ได้พบกับ "พีตี้" เจ้าตูบตัวท้วมลายสีขาว-ดำ ผู้จะมาเป็นบัดดี้เขาในการต่อสู้เพื่อชีวิตใหม่กับสุขภาพที่ดีขึ้น
อีริคตรงดิ่งไปยังศูนย์ช่วยเหลือเพื่อมนุษยธรรมใกล้ ๆ บ้าน ขอรับอุปการะสุนัขที่เป็น "สุนัขผู้ใหญ่ตัวอ้วน" และเขาก็ได้พบกับ "พีตี้" เจ้าตูบตัวท้วมลายสีขาว-ดำ ผู้จะมาเป็นบัดดี้เขาในการต่อสู้เพื่อชีวิตใหม่กับสุขภาพที่ดีขึ้น
นับตั้งแต่รับ เจ้าพีตี้มาเลี้ยง อีริคและเพื่อนสี่ขาตัวนี้ก็มีกิจวัตรประจำวันออกไปวิ่งจ็อกกิ้งด้วยกันเป็น เวลาครึ่งชั่วโมงทุก ๆ เช้า การมีบัดดี้ร่วมชะตากรรมมาฝ่าฟันเพื่อสิ่งเดียวกันทำให้การวิ่งเป็นเรื่อง ไม่น่าเบื่อ ในระยะเวลาเพียง 1 ปี การวิ่งร่วมกับการควบคุมอาหาร ทำให้อีริคสามารถลดน้ำหนักลงได้ถึง 63 กิโลกรัม ส่วนเจ้าพีตี้ก็ผอมลงตั้ง 11 กิโลกรัม กลายเป็นคู่เจ้าของและน้องหมาที่ฟิตสุด ๆ
ไม่เพียงสุขภาพที่ดีขึ้นเท่านั้น
ความรักและความผูกพันที่ต่างคนต่างมีให้กันก็เพิ่มมากขึ้นทุก ๆ วันด้วย พีตี้เป็นทั้งแรงผลักดันและกำลังใจคนสำคัญของอีริค
ทำให้เขามีความเชื่อมั่นว่าเขาจะฟันฝ่าทุก ๆ อุปสรรคไปได้ แม้แต่การวิ่งมาราธอน
ที่คนเคยอ้วนอย่างเขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะทำได้มาก่อน
"พีตี้สอนให้ ผมรู้จักความซื่อสัตย์ภักดีที่ไม่อาจหาได้ที่ไหน และนอกจากความรักไร้เงื่อนไขที่พีตี้มอบให้ผมแล้ว พีตี้มองผมด้วยสายตาราวจะบอกว่า ผมคือคนที่เจ๋งที่สุดในโลกนี้ และนั่นทำให้ผมตัดสินใจว่า ผมจะเป็นคนแบบที่เจ้าพีตี้มองผมว่าเป็นอย่างนั้นให้ได้"
"พีตี้สอนให้ ผมรู้จักความซื่อสัตย์ภักดีที่ไม่อาจหาได้ที่ไหน และนอกจากความรักไร้เงื่อนไขที่พีตี้มอบให้ผมแล้ว พีตี้มองผมด้วยสายตาราวจะบอกว่า ผมคือคนที่เจ๋งที่สุดในโลกนี้ และนั่นทำให้ผมตัดสินใจว่า ผมจะเป็นคนแบบที่เจ้าพีตี้มองผมว่าเป็นอย่างนั้นให้ได้"
นับตั้งแต่มีเจ้าพีตี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต
ชีวิตของอีริคก็เปลี่ยนไปจากเดิมมาก เขาสุขภาพดีขึ้น ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังมากขึ้น
และแน่นอนว่าได้ลบล้างคำสบประมาทของหมอลง เขาจะไม่ตายในอีก 5 ปีนี้แน่
ๆ...แต่กลับไม่ใช่สำหรับเจ้าพีตี้ อีริครู้ดีว่ามันแก่ลงเรื่อย ๆ
และเวลาของมันคงจวนจะมาถึงอีกไม่นาน แต่ก็ไม่เคยคาดคิดจะต้องมาพบว่า
พีตี้มีมะเร็งก้อนใหญ่ผุดในร่างกาย และมันลุกลามจนแพทย์ไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว
และแล้ววาระสุดท้ายของเจ้าพีตี้ก็มาถึง อีริคทำได้เพียงล้มตัวลงนอนกอดเพื่อนสี่ขาแสนรักเอาไว้
ดวงตาคู่ที่เคยเป็นประกายสดใสนั้นจ้องมองมาที่เขา และในตอนนั้นเองเขาก็สัมผัสได้ว่า
พีตี้จากเขาไปแล้ว ตลอดกาล...
อีริคเผยด้วยน้ำตาคลอว่า เขารักมันมาก เขาเสียใจ และยังคงรู้สึกทำใจไม่ได้นักจนถึงตอนนี้ การที่ชีวิตเขาเปลี่ยนแปลงมาได้ไกลขนาดนี้ เกิดขึ้นได้เพราะเจ้าพีตี้ทั้งนั้น มันคือเหตุผลที่เขาตื่นขึ้นมาวิ่งทุกวัน และพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคนที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ไม่ใช่แค่เขาที่ได้ช่วยชีวิตมันไว้ พีตี้ต่างหากที่ได้ช่วยชีวิตของเขา
อีริคเผยด้วยน้ำตาคลอว่า เขารักมันมาก เขาเสียใจ และยังคงรู้สึกทำใจไม่ได้นักจนถึงตอนนี้ การที่ชีวิตเขาเปลี่ยนแปลงมาได้ไกลขนาดนี้ เกิดขึ้นได้เพราะเจ้าพีตี้ทั้งนั้น มันคือเหตุผลที่เขาตื่นขึ้นมาวิ่งทุกวัน และพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคนที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ไม่ใช่แค่เขาที่ได้ช่วยชีวิตมันไว้ พีตี้ต่างหากที่ได้ช่วยชีวิตของเขา
ภาพจาก
Mutual Rescue
http://pet.kapook.com/view143838.html
No comments:
Post a Comment