Wednesday, April 24, 2019

ฮีทสโตรก โรคอันตรายของน้องหมาที่มากับหน้าร้อน




           โรคฮีทสโตรก โรคร้ายในหน้าร้อนที่เจ้าของสุนัขควรศึกษาวิธีสังเกตอาการ ดูแลรักษา และป้องกันเอาไว้ ก่อนที่หน้าร้อนอันแสนสนุกของคุณกับสุนัข จะกลายเป็นความเศร้า

           ถึงแม้หน้าร้อนจะเป็นช่วงที่สุนัขสามารถออกไปวิ่งเล่นนอกบ้านได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องฝน แต่ด้วยอุณหภูมิที่สูงขึ้นทุกขณะ บางครั้งความร้อนก็กลับกลายเป็นอาวุธที่ทำให้สุนัขเสียชีวิตได้เนื่องจากโรคฮีทสโตรก (Heatstroke) หรือโรคลมแดด ดังนั้นก่อนที่น้องหมาจะเป็นอะไรไป กระปุกดอทคอมได้รวบรวมข้อมูลทั้ง สาเหตุ อาการ วิธีการดูแลรักษา และป้องกันโรคฮีทสโตรกในน้องหมามาฝากกัน

ที่มาของโรคฮีทสโตรกในสุนัข
 
        
  โรคฮีตสโตรกจะเกิดขึ้นกับสุนัขที่สูญเสียการควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย เนื่องจากสุนัขไม่ได้ขับเหงื่อทางร่างกายเหมือนกับคน แต่จะระบายความร้อนผ่านการหายใจ ซึ่งถ้าหากสุนัขอยู่ในบริเวณที่มีการถ่ายเทความร้อนได้ไม่รวดเร็วพอ ก็จะทำให้เป็นโรคฮีทสโตรกได้ เพราะโดยปกติแล้วอุณหภูมิร่างกายของสุนัขจะอยู่ที่ประมาณ 38-39 องศาเซลเซียส ซึ่งถ้าอุณหภูมิสูงถึง 40 องศาเมื่อไร ก็จะแสดงอาการของโรคฮีทสโตรกให้เห็น และจะเริ่มเป็นอันตรายกับตับ ไต หัวใจ รวมไปถึงสมอง เมื่อร่างกายของสุนัขมีอุณหภูมิสูงถึง 41-42 องศา นอกจากนี้จริง ๆ แล้วโรคฮีตสโตรกสามารถเกิดขึ้นได้ทุกช่วงเวลาและทุกฤดู เพียงแต่ว่าช่วงหน้าร้อนเป็นช่วงที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคมากที่สุดเท่านั้น 

อาการโรคฮีทสโตรกในสุนัข

          อาการโรคฮีตสโตรกสามารถสังเกตได้จากการที่สุนัขแลบลิ้นออกมามากจนผิดปกติ มีอาการเหนื่อย หอบ หายใจลำบาก กระหายน้ำรุนแรง น้ำลายเหนียวหรือยืด เหงือกมีสีแดงเข้มแล้วเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินหรือม่วง เหงือกหรือจมูกแห้ง มีอาการเซ สับสนมึนงง ชัก อาเจียนบ่อย ท้องเสียเฉียบพลัน นอนนิ่งเกร็งขาทั้ง 4 ข้าง ตามตัวมีอุณหภูมิสูง อีกทั้งอาจจะเลือดกำเดาไหลหรือชัดร่วมด้วย หากอาการรุ่นแรงก็อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ 

          ทั้งนี้ความรุนแรงของโรคฮีทสโตรกในสุนัขมีความแตกต่างกันไปตามขนาดรูปร่างของสุนัขและระยะเวลาที่อยู่ในที่ร้อนจัด ยิ่งอยู่ในพื้นที่นานและร้อนจัดมาก ๆ ก็ยิ่งเป็นอันตรายกับสุนัขมากขึ้น

วิธีดูแลและรักษาเมื่อมีอาการฮีทสโตรก
 
1. นำสุนัขออกจากบริเวณที่มีความร้อนสูง

          หากเป็นไปได้ควรพาสุนัขมาอยู่ในที่ร่มที่มีลมโกรก หรือบริเวณที่มีไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศ นอกจากนี้ควรห้ามไม่ให้สุนัขออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้ง และวิ่งเล่นกลางแดดในช่วงเวลาดังกล่าว จนกว่าจะตรวจเช็กจนมั่นใจว่า สุนัขหายเป็นปกติแล้ว

2. ให้สุนัขดื่มน้ำเย็น

          ในระหว่างนี้ควรให้สุนัขดื่มน้ำเย็นหรือน้ำอุณหภูมิห้องทีละน้อย เพราะถ้าปล่อยให้สุนัขดื่มน้ำมากเกินไปในเวลาอันรวดเร็ว อาจทำให้สุนัขอาเจียนได้ ส่วนในกรณีที่สุนัขไม่สนใจให้ใช้น้ำซุปไก่หรือน้ำซุปเนื้อแทนได้ แต่อย่างไรก็ตามไม่ควรบังคับให้สุนัขดื่มน้ำ หากสุนัขไม่ยอมดื่มด้วยตัวเอง

3. หลีกเลี่ยงการใช้ผ้าเย็นเช็ดตัว

          เจ้าของสุนัขสามารถใช้ผ้าเย็นเช็ดตัวสุนัขเพื่อช่วยลดความร้อนในร่างกายได้ โดยเฉพาะบริเวณใต้อุ้งเท้าและใต้ท้อง แต่ไม่ควรใช้ผ้าเย็นห่มตัวสุนัขทิ้งไว้ เพราะนอกจากจะเป็นการลดการระบายอากาศแล้ว ยังเป็นการเพิ่มความร้อนให้กับร่างกายของสุนัขด้วย อีกทั้งควรหลีกเลี่ยงสถานที่ปิด เช่น กรงสุนัข แต่ให้พาสุนัขไปอยู่ในที่มีการถ่ายเทอากาศดี ก็ช่วยลดอุณหภูมิในร่างกายได้

3. รดน้ำบนตัวสุนัข 

          ควรใช้น้ำที่มาจากก๊อกน้ำหรือสายยางรดน้ำลงบนตัวสุนัขด้วยระดับความดันน้ำที่ไม่แรงจนเกินไป และพยายามหลีกเลี่ยงการพาสุนัขไปแช่น้ำโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นอ่างอาบน้ำหรือสระว่ายน้ำ เพราะการแช่น้ำจะทำให้อุณหภูมิในร่างกายของสุนัขลดลงเร็วเกินไป ก็จะทำให้มีอาการอื่น ๆ ตามมา เช่น หัวใจวายเฉียบพลัน หรือท้องอืด

4. พาไปพบสัตวแพทย์

          ถึงแม้จะดูแลเป็นอย่างดีแต่ก็ไม่ควรวางใจเสียทีเดียว หากเป็นไปได้ควรพาไปพบสัตวแพทย์ด้วย เพราะแม้ภายนอกจะดูเป็นปกติดี แต่อวัยวะภายในร่างกายของสุนัขอาจมีบางส่วนที่เกิดความเสียหายจากโรคฮีตสโตรกได้ และถ้าหากไม่วินิจฉัยให้ละเอียดก็อาจทำให้สุนัขถึงตายได้

5. ใช้แอลกอฮอล์ลูบใต้ฝ่าเท้า

          เนื่องจากสุนัขระบายความร้อนที่ผ่านผิวหนังใต้อุ้งเท้า ฉะนั้นการใช้แอลกอฮอล์ลูบที่บริเวณดังกล่าวก็ช่วยให้การระบายความร้อนในร่างกายดีขึ้น ส่วนปริมาณของแอลกอฮอล์ไม่ควรใช้มากเกินไป เพราะจะเป็นอันตรายหากสุนัขเผลอเลียอุ้งเท้า


วิธีป้องกันการเกิดโรคฮีทสโตรก

 1. เลี่ยงต้นเหตุของโรคหรือทำให้อาการกำเริบ

          สุนัขที่มีอายุมาก เป็นโรคอ้วน และเคยมีประวัติโรคฮีตสโตรก หรือโรคชักมาก่อน มีโอกาสที่เป็นโรคฮีทสโตรกได้ง่าย จึงทำให้มีความเสี่ยงมากกว่าสุนัขทั่วไปโดยเฉพาะสุนัขจมูกสั้น เช่น ปั๊ก หรือบูลด็อก ส่วนสุนัขพันธุ์อื่น ๆ ก็มีโอกาสเป็นได้เช่นกัน ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีสภาพอากาศร้อนจัดไว้ก่อนจะดีกว่า

2. ไม่ควรปล่อยให้สุนัขอยู่ในรถ

          หากไม่จำเป็นจริง ๆ ในช่วงฤดูร้อนไม่ควรให้สุนัขอยู่ในรถ ถึงแม้ว่าอากาศภายในรถจะไม่ร้อน หรือเปิดหน้าต่างรถทิ้งไว้ก็ตาม เพราะอุณหภูมิในรถช่วงฤดูร้อนแบบนี้สามารถเพิ่มสูงขึ้นได้อย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่นาที ซึ่งถือเป็นเรื่องที่อันตรายกับสุนัขมากทีเดียว

3. ตัดแต่งขนสุนัข

          ในหน้าร้อนแบบนี้เจ้าของควรพาสุนัขไปโกนหรือตัดขนให้สั้นลงด้วย โดยเฉพาะสุนัขที่มีขนทั้งหนาและยาว เพื่อลดความสะสมความร้อน ที่สำคัญหากเป็นไปได้ควรพาสุนัขไปตัดขนกับผู้เชี่ยวชาญ เพื่อจะได้ออกแบบขนไปในตัวด้วย

4. นำสุนัขมาเลี้ยงไว้ในบ้านในวันที่มีแดดร้อนจัด

          หากอากาศร้อนจัดควรพาสุนัขมาอยู่ในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ ระหว่างวันที่มีแดดร้อนมาก ๆ หากไม่สามารถทำได้ก็ควรพาสุนัขไปอยู่ในที่ที่มีร่มเงา และมั่นใจว่าปลอดภัยกับสุนัขแทน

5. จัดหาน้ำและที่ร่มให้

          สำหรับบ้านที่เลี้ยงสุนัขไว้นอกบ้านควรเตรียมน้ำ และหาที่พักที่มีร่มเงาไว้ให้กับสุนัขด้วย นอกจากนี้ยังมีบางคนเทน้ำแข็งลงบนพื้นเอาไว้ให้สุนัขนอนกลิ้งในวันที่มีอากาศร้อนอีกต่างหาก

6. พาสุนัขไปเล่นน้ำ

          หากบ้านอยู่ใกล้กับแม่น้ำ หรือมีสระน้ำอยู่ในบ้าน ก็ควรหาโอกาสพาสุนัขไปเล่นน้ำ หรือไม่ก็ใช้น้ำลูบตัวสุนัขบ้าง ก็จะช่วยป้องกันโรคฮีทสโตรกได้ทางหนึ่งแต่อย่างไรก็ตามไม่ควรให้สุนัขลงเล่นน้ำลึกจนเกินไปนัก หากสุนัขมีทักษะการว่ายน้ำไม่ดีพอ

          และนี่คือโรคร้ายที่ก่ออันตรายให้กับสุนัขซึ่งเจ้าของควรระวัง ถึงแม้ไม่เคยมีประวัติก็อาจเป็นได้ อีกทั้งยังเป็นอันตรายถึงชีวิต ฉะนั้นเตรียมพร้อมรับมือเอาไว้ก่อนกันดีกว่านะคะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก wikihow, thesprucepets, โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ และ

***อัปเดตข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2562

เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/70437483383058/

No comments:

Post a Comment