Monday, March 30, 2020

ทำไมหมากับแมวไม่ถูกกัน?


          เป็นเรื่องซึ่งเห็นกันเป็นปกติที่น้องหมาน่ารักจะวิ่งไล่เจ้าเหมียวที่หลงเข้ามาในบ้านอย่างเอาเป็นตายและนั้นเป็นเรื่องของสัญชาตญาณตั้งแต่ยุคดั้งเดิมนั้นเลยทีเดียว "เพียงเพราะหมากับแมวถูกเอามาเลี้ยงในบ้าน ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะอยู่ร่วมกันได้"

          นักพฤติกรรมสัตว์ ซาร่าห์ ฮีธ ผู้เขียนเรื่อง Why Does My Cat ? บอก "แมวอยู่ตรงกลางระหว่างห่วงโซ่อาหาร ซึ่งหมาอยู่เหนือกว่าพวกมัน" แต่ไม่ว่าหมาจะพยายามกินแมวจริงๆ หรือไม่ก็ตาม มันขึ้นอยู่กับประเภทของหมาด้วยเช่นกัน

          "หมาบางพันธุ์มีสัญชาตญาณนักล่ารุนแรงเกินกว่าที่พวกมันจะต้านทานไหวอย่างเช่น เทอร์เรียซึ่งเป็นหมาที่เกิดมาเพื่อเป็นนักฆ่าแต่สุนัขที่เป็นนักกีฬาอย่าง ลาบบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ และสแปนเนียลไม่ค่อยใส่ใจกับแมวเท่าไหร่นัก มันไม่ใช่สัญชาตญาณของพวกมัน"ซ่าร่าห์ บอก เพราะฉะนั้นหมากับแมวก็ต้องวิ่งไล่กันไปอย่างนี้ตลอดกาล



ขอขอบคุณข้อมูลจาก
 
นิตยสารลิซ่า วันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2551
https://pet.kapook.com/view346.html
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/681732462331857282/

Sunday, March 29, 2020

ทำไมเจ้าตูบถึงนอนกรน?



ทำไมเจ้าตูบถึงนอนกรน? (Dogazine)

          คร่อกๆๆ ครืดคราดๆๆๆ ...มีใครได้ยินเสียงเจ้าตูบที่นอนอยู่ข้างๆ กรนบ้างไหมคะ? และหลายๆ คนก็คงสงสัยว่าเวลามะหมานอนกรนนั้น เกิดจากสาเหตุอะไรกันแน่ วันนี้เรามีคำตอบมาให้ค่ะ

          จริงๆ แล้วการที่น้องหมานอนกรนนั้น ก็มีสาเหตุที่ใกล้เคียงกับในคนนี่แหละค่ะ โดยเกิดจากการที่มีบางสิ่งบางอย่างอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบนอยู่ หรือเกิดจากความผิดปกติของโครงสร้างร่างกายบางอย่าง เช่น กะโหลกศีรษะ กระดูกใบหน้าหรือโครงสร้างของหลอดลม ทำให้มีภาวะหยุดหายใจไปชั่วขณะซึ่งก็คือการนอนกรนนั่นเอง และต่อไปนี้คือสาเหตุต่างๆ ที่สามารถทำให้น้องหมานอนกรนได้ค่ะ

           อ้วนเกินไป การที่น้องหมามีน้ำหนักตััวเกินมาตรฐาน จะทำให้มีไขมันสะสมกระจายอยู่ตามเนื้อเยื่อต่างๆ ทั่วร่างกาย เช่น สะโพก ท้อง ต้นขา และยังพบว่ามีเนื้อเยื่อไขมันกระจายอยู่รอบๆ ทางเดินหายใจช่วงบนมากขึ้นด้วย โดยไขมันที่พอกบริเวณคอนี้เองจะทำให้ช่องคอแคบลงได้ ร่วมกับการที่หน้าท้องมีไขมันเกาะอยู่มาก ทำให้กะบังลมทำงานได้ไม่เต็มที่ ความจุของปอดลดลง จึงล้วนเป็นปัจจัยเสริมที่ทำให้เกิดการหยุดหายใจชั่วขณะได้โดยง่าย นั่นก็คือการนอนกรนนั้นเอง

           แน่นจมูก จมูกเป็นต้นทางของทางเดินหายใจ ถ้ามีภาวะใดก็ตามที่ทำให้เกิดอาการแน่นจมูก เช่น น้องหมาเป็นหวัดมีน้ำมูก ภูมิแพ้ เยื่อบุจมูกอักเสบ ไซนัสอักเสบ หรือมีเนื้องอกในจมูก ย่อมทำให้เกิดอาการกรนขึ้นได้

           หน้าแบน ยกตัวอย่างเช่น น้องหมาพันธุ์ ปักกิ่ง ปั๊ก ชิสุ บูลด็อก บอสตัน เทอร์เรียร์ เป็นต้น การที่มีหน้าตาแบนๆ จะทำให้มีพื้นที่ทางเดินหายใจช่วงบนแคบลงและเกิดการอุดตันได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อเกิดการติดเชื้อในทางเดินหายใจ จึงทำให้นอนกรนค่ะ

           การใช้ยาชาเฉพาะที่ เมื่อมีการใช้ยาชาเฉพาะที่เพื่อระงับอาการเจ็บปวดต่างๆ ในน้องหมาอาจส่งผลให้กล้ามเนื้อต่างๆ คลายตัวลงจึงทำให้เกิดการอุดตันทางเดินหายใจได้

           การต้องอยู่ในที่ที่มีควันบุหรี่ การที่น้องหมาต้องอยู่ในที่ซึ่งมีควันบุหรี่หรือเจ้าของสูบบุหรี่ ก็จะทำให้น้องหมาได้รับควันบุหรี่ไปด้วย ซึ่งควันบุหรี่นั้นจะทำให้ประสิทธิภาพของระบบทางเดินหายใจแย่ลง ทำให้คออักเสบจากการระคายเคือง มีการหนาบวมของเนื้อเยื่อ ทำให้ทางเดินหายใจแคบลง เกิดการอุดตันได้ง่าย และยังส่งผลเสียต่อหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจอีกด้วย

 แล้วจะทำอย่างไรดี เมื่อเจ้าตูบนอนกรน

          ถ้าน้องหมามีอาการกรนจากสาเหตุข้างต้น ก็ต้องค่อยๆ แก้กันไปตามสาเหตุ เช่น ถ้าอ้วนเกินไปก็ควรจำกัดอาหารและลดความอ้วนของเขา แต่สำหรับน้องหมาที่มีหน้าแบนๆ ทั้งหลายนั้น อาจลดการนอนกรนของเขาได้โดยการปรับเปลี่ยนท่าทางการนอนให้เหมาะสม เช่น น้องหมาบางตัวชอบนอนหงาย ซึ่งจะทำให้มีอาการกรนได้มากขึ้น ฉะนั้นเจ้าของจะต้องคอยจัดท่าทางการนอนให้ใหม่ ในท่าทางที่หายใจได้สะดวกมากขึ้น หรือมีบางคำแนะนำบอกไว้ว่า การให้น้องหมานอนในที่นอนลักษณะโค้งกลมจะช่วยให้เขาอยู่ในท่าทางที่หายใจได้ดีขึ้นและลดอาการนอนกรนลงได้ค่ะ

 แล้วต้องพาน้องหมาไปหาคุณหมอหรือเปล่า

          ในกรณีที่น้องหมาบางตัวเกิดอาการนอนกรนขึ้นอย่างเฉียบพลัน ก็ควรพาไปหาคุณหมอเพื่อที่จะตรวจดูความผิดปกติที่เกิดขึ้นนะคะ เพราะอาจมีสาเหตุมาจากความเจ็บป่วยต่างๆ ได้ หรือถ้าเป็นน้องหมาที่มีอาการนอนกรนเนื่องจากความอ้วนก็อาจให้คุณหมอช่วยแนะนำเกี่ยวกับเรื่องอาหารและการลดน้ำหนัก

          เอาล่ะค่ะ หวังว่าจะทำให้เจ้าของหลายๆ คนมีความเข้าใจเกี่ยวกับอาการนอนกรนของน้องหมาได้มากขึ้น ฉะนั้นลองหาสาเหตุดูว่าน้องหมาของเราเข้าข่ายในข้อไหนบ้างหรือเปล่า เผื่อจะได้ใช้เป็นแนวทางในการลดอาการนอนกรนของเขาลงได้บ้าง จะได้ไม่ต้องให้เขามากรนแข่งกับเรานะคะ(อิอิ)

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

https://pet.kapook.com/view1429.html
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/189151253072820176/

Friday, March 27, 2020

10 อันดับโรคที่สุนัข & แมว เป็นได้ แต่คนมักไม่รู้



10 อันดับโรคที่สุนัข & แมวเป็นได้แต่คนไม่รู้ (โรงพยาบาลสัตว์เนินพลับหวาน)

           1. โรคมะเร็ง ได้แก่ เต้านม, ผิวหนัง, เม็ดเลือดขาว, กระดูก, กระเพาะปัสสาวะ, ช่องปาก

           2. โรคไตวายทั้งเฉียบพลันและเรื้อรัง
         
                    • แบบเฉียบพลัน อาการ เจ็บหลัง เดินขาแข็ง แห้งน้ำ ไม่มีปัสสาวะหรือมีน้อยลง
                    • แบบเรื้อรัง กินน้ำบ่อย ปัสสาวะมาก น้ำหนักลด และปากมีกลิ่นเหม็น

           3. โรคนิ่ว เกิดทุกส่วนของระบบทางเดินปัสสาวะ ได้แก่ ที่ไต ท่อไต กระเพาะปัสสาวะ ท่อปัสสาวะ ทำให้เยื่อบุทางเดินปัสสาวะเกิดการระคายเคือง มีอาการเจ็บปวด ปัสสาวะขัด หรือบางรายปัสสาวะไม่ออก

           4. โรคหัวใจ ได้แก่ พยาธิหนอนหัวใจ ลิ้นหัวใจรั่ว หัวใจวายเฉียบพลัน หัวใจวายเรื้อรัง อาการที่พบ หอบ เหนื่อยง่าย ไอแห้ง กินอาหารลดลง

           5. โรคเบาหวาน ในสุนัขเกิดจากภูมิคุ้มกันร่างกายทำลายเซลล์ตับอ่อนจึงผลิตอินซูลินไม่ได้, ในแมวเกิดจากความอ้วน ตับอ่อนอักเสบ หรือภูมิคุ้มกันเหนี่ยวนำให้ทำลายเซลล์ของตับอ่อนตัวเอง สัตว์จะมีอาการกินน้ำและปัสสาวะมาก กินมากแต่น้ำหนักลด เกิดภาวะขาดน้ำ ในสุนัขเกิดต้อกระจกตามมา

           6. โรคภูมิแพ้ ได้แก่ แพ้อาหาร, ฝุ่น หรือ อากาศ สุนัขที่เป็นจะแสดงออก โดยการเกา เลียเท้า เอาหน้าถูพื้น อาจมีท้องเสีย หรืออาเจียนได้

           7. โรคต้อกระจก เกิดได้ทุกพันธุ์ ทุกอายุ มีหลายสาเหตุ โดยอาจเป็นแต่กำเนิดหรือสาเหตุอื่นโน้มนำ เช่น เบาหวาน ติดเชื้อ ได้รับสารพิษ และความชรา ลักษณะที่พบ แก้วตามีสีขาวขุ่น มองเห็นลดลง เดินชนสิ่งของ

           8. โรคข้อสะโพกเสื่อม สุนัข เกิดได้ทุกช่วงอายุ ทำให้มีท่าเดินหรือวิ่งที่ผิดไป ในรายที่เป็นมาก อาจไม่ยอมเดิน

           9. โรคเอดส์แมว มักมีอาการแทรกซ้อนจากการติดเชื้ออื่น เพราะระบบภูมิคุ้มกันร่างกายบกพร่องสัตว์จะเสียชีวิตได้ การติดต่อเกิดจากน้ำลาย จากการกัดกัน โดยเฉพาะแมวตัวผู้

           10. ลมชัก ยังไม่สาเหตุที่แน่นอน มักพบในสุนัขอายุ 1-5 ปี อาการชักมีตั้งแต่กระตุกที่ใบหน้าจนถึงนอนชัก ปัสสาวะและอุจจาระไม่รู้ตัว โดยถ้าสัตว์ชักนานเกิน 5 นาที ให้รีบนำส่งโรงพยาบาล

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

https://pet.kapook.com/view18817.html
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/747597606917346979/

Thursday, March 26, 2020

การหอบของน้องหมามีประโยชน์อย่างไร?



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

         ในยามที่เราร้อนมากจนเหงื่อไหลไคลย้อย เรายังสามารถยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อได้ แล้วเคยนึกสงสัยบ้างไหมคะ ว่ายามที่น้องหมาของเราร้อน เขาจะทำอย่างไรกันบ้าง แน่นอนว่าต่อให้เจ้าสี่ขาของคุณจะแสนรู้ขนาดไหน มันก็คงไม่เอาหน้าไปถูไถกับผ้าเพื่อซับเหงื่อเป็นแน่ เพราะที่จริงแล้ว สุนัขมีต่อมเหงื่ออยู่น้อยมาก ๆ  เมื่อเทียบกับคนเรา มันจึงไม่ได้อาศัยการขับน้ำออกมาเป็นเหงื่อ เพื่อพาความร้อนออกจากร่างกายหรอกนะคะ แต่สิ่งที่มันทำก็คือการ "หอบ" ต่างหากค่ะ

          ในวันที่อากาศร้อนแดดแรง ใครที่สังเกตเห็นเจ้าตูบของตัวเองหอบบ่อย ๆ ถี่ ๆ ไม่ต้องตกใจไปนะคะ เพราะการหอบนั้นเป็นกลไกเพื่อคลายความร้อนของเขานั่นเอง แม้ว่าเจ้าตูบจะมีต่อมเหงื่ออยู่ที่อุ้งเท้า และบริเวณผิวหนังซึ่งไม่มีขนปกคลุม แต่ก็นับเป็นพื้นผิวที่น้อยมาก ๆ เมื่อเทียบสัดส่วนกับขนาดของร่างกาย มันจึงไม่สามารถอาศัยการขับเหงื่อออกมาตามทางเหล่านี้เป็นหนทางหลักในการคลายความร้อนให้กับร่างกาย ดังนั้น เจ้าสี่ขาของเราจึงอาศัยวิธีการหอบหายใจแทนค่ะ

          สำหรับการหอบของเจ้าตูบจะเป็นการหายใจเข้าออกสั้น ๆ และถี่มาก ในนาทีหนึ่งเจ้าตูบจะหอบหายใจได้ถึง 300-400 ครั้งเลยทีเดียว (ในขณะที่อัตราการหายใจปกติของมันอยู่ที่ 30-40 ครั้ง/นาที) การหายใจสั้น ๆ ของเจ้าตูบจะช่วยเร่งให้เกิดความชื้นที่ลิ้น ในช่องปาก และตามทางเดินหายใจของมัน  ระเหยกลายเป็นไอ อันจะช่วยพาความร้อนในร่างกายออกไปได้ด้วย นี่จึงกลายเป็นวิธีหลักที่มันใช้เพื่อระบายความร้อนออกจากร่างกายนั่นเอง

          ฟังดูแล้วอาจจะยังนึกสงสัยต่อไปว่า .. เอ ถ้าหอบบ่อยและถี่ขนาดนี้ เจ้าตูบจะไม่เหนื่อยบ้างหรือไงนะ คำตอบก็คือ "ไม่หรอกค่ะ" เพราะปอดและทางเดินหายใจของเจ้าตูบค่อนข้างมีความยืดหยุ่นสูง การหอบของมันไม่ได้เผาผลาญพลังงานไปเท่าไหร่เลย เจ้าตูบจึงไม่รู้สึกเหนื่อยใด ๆ กับการระบายความร้อนแบบนี้นะคะ .. เพราะฉะนั้นหมดกังวลได้เลยจ้า  


https://pet.kapook.com/view49235.html
เครดิตภาพ https://www.pinterest.com/pin/2462974788943227/

Sunday, March 15, 2020

หมั่นสังเกตลูกสี่ขา


หมั่นสังเกตลูกสี่ขา (Lisa)

           สุนัขเพื่อนผู้ซื่อสัตย์แสนดี พวกมันไม่ต่างจากเด็กทารก เพราะไม่สามารถบอกเราถึงความต้องการต่างๆ เป็นภาษาคนได้ ดังนั้น ถ้ารักน้องหมาเหมือนลูกสาวลูกชายคนหนึ่ง อย่าละเลยที่จะสังเกตพฤติกรรมของเขาเหล่านี้ เพราะนี่คือความสัมพันธ์หนึ่งที่คุณได้สร้างขึ้นแล้ว

            ลูกสุนัขที่ฟันกำลังขึ้น และเกิดอาการมันเขี้ยว มักจะกัดเคี้ยวสิ่งของต่างๆ เช่น รองเท้า หมอน หรือแทะวอลเปเปอร์ หาลูกบอลยางสำหรับลูกสุนัขมาให้มันกัดเคี้ยวแทนข้าวของในบ้านเป็นอันใช้ได้

            เด็กมักร้องไห้ หรืองอแง เมื่ออยากออกไปเล่น หรือหิว แต่สุนัขจะแสดงออกด้วยการร้องเอ๋งๆ แบบไม่สิ้นสุด คุณจึงต้องทบทวนว่า พาน้องหมาออกไปเดินเล่นบ้างหรือเปล่า หรือให้อาหารเช้ามันแล้วหรือยัง

            สุนัขคือสัตว์สังคมชนิดหนึ่ง พวกมันจึงเกลียดการอยู่เพียงลำพังในห้อง หรือในกรง มันจึงต้องแสดงออกโดยการทำลายข้าวของ หรือเห่าหอน เอาง่ายๆ คงไม่ต่างจากคน น้องหมาก็เหงาเป็นนะ

            Steven Diller ผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมสัตว์บอกว่าสุนัขมักหวาดกลัวสิ่งที่มันไม่เคยเห็นมาก่อน เช่น สเกตบอร์ดที่เลื่อที่ได้ มันอาจเห่าและกระโดดไปรอบๆ หรือไม่ก็พุ่งเข้ากัด ถ้าอาการยังไม่เป็นหนักเกินไป ก็แค่พามันให้ห่างจากวัตถุนั้น แต่ถ้ามันเริ่มหวาดกลัว เห่า กัด สิ่งมีชีวิตทุกอย่างที่แปลกหน้า ควรปรึกษาสัตวแพทย์ได้แล้ว

            สุนัขของคุณเคยขับถ่ายเป็นที่เป็นทาง ทว่าระยะหลังๆ กลับปล่อยเรี่ยราดในบ้าน มิใช่ว่ามันขี้เกียจเดินไปส้วนประจำตัวของมันหรอกนะ แต่อาจเป็นเพราะมันเริ่มมีปัญหากับกล้ามเนื้อที่ไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้ หรือไม่ก็ได้รับบาดเจ็บ เมื่อเคลื่อนตัวจึงรู้สึกเจ็บปวด มันจึงถ่ายตรงนั้นเลยนั่นล่ะ เป็นหน้าที่เจ้าของที่จะต้องดูแลมันอีกแล้ว

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

Thursday, March 12, 2020

การดูแลน้องหมาวัยทอง




การดูแลน้องหมาวัยทอง (โลกสัตว์เลี้ยง)

          สุนัขไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ไหน เมื่ออยู่ในช่วงเป็นลูกสุนัข ก็ดูน่ารักไปซะไปหมดทุกตัว และด้วยความน่ารักนี้เองจึงทำให้หลายคนตกหลุมรักแล้วตัดสินใจนำไปเลี้ยง แต่เมื่อเวลาผ่านไปความสวยงามน่ารักของสุนัขก็เริ่มเปลื่ยนไป บางตัวไม่น่ารักเหมือนเดิม ทำให้ความรักความเอาใจใส่ที่เจ้าของ(บางราย)มีให้ก็เปลี่ยนไปด้วย บางคนถึงขั้นเอาไปปล่อย จากหมาบ้านกลายเป็นหมาจรจัด(ซะงั้น) ทั้งที่จริงแล้ว ยิ่งในช่วงที่สุนัขมีอายุมากขึ้น เริ่มชรา เข้าสู่วัยทอง ระบบต่างๆ ในร่างกายก็เสื่อมสภาพลง ซึ่งต้องอาศัยความเอาใจใส่จากผู้เลี้ยงเป็นอย่างมาก

          ปัจจุบันจำนวนสุนัขที่อยู่ในช่วงวัยทองมีมากกว่าแต่ก่อน เนื่องจากพัฒนาการทางด้านการแพทย์ที่ทันสมัย ร่วมกับได้รับการใส่ใจดูแลอย่างใกล้ชิดจากผู้เลี้ยง สุนัขจึงสามารุมีชีวิตยืนยาวได้มากกว่า 25 ปีทีเดียว ขณะที่อายุเฉลี่ยของพวกเขาอยู่ที่ 13 ปีโดยประมาณ พันธุกรรมที่หลากหลายเป็นปัจจัยให้สุนัขแต่ละตัวมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง สายพันธุ์ใหญ่มักมีช่วงอายุสั้นกว่าสายพันธุ์เล็ก หรือพันธุ์ในกลุ่มทอย ส่วนสายพันธุ์ขนาดกลางมีช่วงอายุยนยาวกว่าสุนัขพันธุ์เล็กและพันธุ์ใหญ่ ขณะที่ปัจจัยเรื่องสิ่งแวดล้อม เช่น อากาศสกปรก ทำให้อายุสุนัขสั้นลงได้ นอกจากนี้ อาหาร ถือเป็นสิ่งสำคัญประการหนึ่งซึ่งมีผลต่ออายุของสุนัข ดังนั้น อาหารที่ดีจะสามารถช่วยป้องกันหรือลดอัตราความเสี่ยงหรือความรุนแรงของการเกิดความผิดปกติต่างๆ แบบเรื้อรัง ช่วยให้สุนัขมีน้ำหนักตัวพอเหมาะ และช่วยให้มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง

          ในทางกลับกัน หากอาหารและน้ำที่สุนัขได้รับมีคุณภาพไม่ดี มีการปนเปื้อนสารพิษก็จะทำให้สุนัขเจ็บป่วยโดยตรง หรือทำให้ภูมิต้านทานโรคลดลง ซึ่งก็สามาถทำให้อายุของเค้าสั้นลงได้เช่นกัน

          อย่างไรก็ตาม เมื่อสุนัขมีอายุมากขึ้น มักจะเกิดปัญหาในเรื่องความเสื่อมของอวัยวะทั้งภายในและภายนอก ทั้งระบบการกิน การย่อย ระบบการทำงานของกล้ามเนื้อ รวมถึงประสาทสัมผัสการเมองเห็น การได้ยินเสียง การดมกลิ่น หรือแม้แต่การวิ่ง การเดินที่เชื่องช้าลง นอกจากนี้ ยังมีอาการซึมเศร้า เบื่ออาหาร ซึ่งถ้าเจ้าของปล่อยปละละเลย อาการเหล่านี้ก็จะถามหาเจ้าสุนัขตัวโปรดเร็วขึ้น

          การดูแลสุนัขที่อยู่ในช่วงวัยทองต้องอาศัยความใส่ใจ พิถีพิถันมากเป็นพิเศษ เพราะสุนัขไม่สามารถสื่อสารด้วยภาษาพูดให้รู้ได้ว่าเจ็บป่วย ดังนั้น ควรหมั่นสังเกตอาการต่างๆ ของสุนัข ไม่ว่าจะเป็นอาการเบื่ออาหาร ขนร่วง เดินไม่ตรง ซึมเศร้า และพาไปพบสัตวแพทย์เป็นประจำเพื่อตรวจสุขภาพ

          การให้อาหาร ต้องเน้นในเรื่องสารอาหารที่ครบถ้วนในปริมาณที่เหมาะสม ต้องคอยสังเกตุให้สุนัขมีน้ำหนักที่เหมาะสมควบคู่ไปด้วย หากพบว่าสุนัขมีน้ำหนักมาก ควรลดปริมาณอาหารที่ให้ เพราะสุนัขวัยทองจะพบปัญหาเกี่ยวกับหัวใจและปอด เนื่องมาจากไขมันที่มากเกินไป รวมทั้งปัญหาเกี่ยวกับกล้ามเนื้อและข้อต่อต่างๆ รวมทั้งน้ำดื่ม ก็ต้องสะอาดและให้อย่างเพียงพอด้วย

          ชนิดของสารอาหารที่ร่างกายสุนัขวัยทองต้องการไม่แตกต่างจากช่วงวัยเจริญพันธุ์หรือขณะที่ยังเป็นลูกสุนัข หากแต่สิ่งที่สำคัญคือ คุณภาพและปริมาณ วัตถุดิบที่ใช้ในการปรุงอาหาร ตลอดจนปริมาณความเข้มข้นของพลังงานต่อหน่วยอาหารที่เจ้าของควรปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม ทั้งนี้ การปรับปริมาณพลังงานสำหรับสุนัขวัยทอง ทำได้โดยการลดสัดส่วนของไขมันในอาหาร เพิ่มสัดส่วนของโปรตีนหรือคาร์โบไฮเดรตที่ย่อยง่าย

          โปรตีน เป็นสารอาหารที่สุนัขวัยทองต้องการมากว่าสุนัขวัยไหนๆ เพราะจะมีน้ำหนักร่างกายของส่วนที่เป็นกล้ามเนื้อลดลง เป็นผลให้ปริมาณโปรตีนสำรองของร่างกายลดลง ซึ่งโดยทั่วไปโปรตีนสำรอง ส่วนนี้จะถูกดึงมาใช้ประโยชน์เมื่อร่างกายอยู่ในภาวะเจ็บป่วยหรือเครียด

          ภาวะเครียดในสุนัขวัยทอง อาจมีสาเหตุมาจาการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม อากาศ อุณหภูมิ ซึ่งสุนัขในวัยนี้มีแนวโน้มที่จะเจ็บป่วยได้ง่ายอยู่แล้ว

          คุณสมบัติของอาหารที่เหมาะสมกับสุนัขวัยทอง คืออาหารที่ย่อยง่าย มีกรดอะมิโนครบถ้วน ซึ่งพบได้ในเนื้อสัตว์ ทั้งนี้ เนื้อสัตว์สีขาวจะย่อยง่ายกว่าเนื้อสัตว์สีแดง ดังนั้น ควรเลือกอาหารที่มีส่วนผสมของไข่ เนื้อปลา หรือเนื้อไก่ เพราะเป็นแหล่งก็โปรตีนที่ย่อยง่าย
   
          ในส่วนของการออกกำลังกาย สำคัญมากเช่นกัน แต่ไม่ควรหักโหม  เพราะจะส่งผลต่อข้อต่อและกล้ามเนื้อต่างๆ ที่เริ่มเสื่อมสภาพ เจ้าของอาจจูงพาเดินเล่นบ้าง วิ่งบ้าง ออกกำลังกายแบบเบาๆ หรือจะใช้วิธีการแบบบำบัดเข้าร่วมก็ได้


วิธีสังเกตน้องหมาว่าอยู่ในช่วงวัยทองหรือไม่

           ขนตามตัวเริ่มมีสีขาวแซม

           ขนที่เคยมันเป็นเงาเริ่มหยาบกระด้าง อาจมีการหลุดร่วงของเส้นขนร่วมด้วย

           เหนื่อยง่าย แสดงอาการหอบเมื่อออกกำลังกายเพียงเล็กน้อย

           ชอบนอนทั้งวัน ไม่กระฉับกระเฉงเหมือนก่อน

           ไม่ร่าเริงสดใส มีการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมลดลง

           ผิวหนังขาดความยืดหยุ่น

           หากพบว่าน้องหมาของคุณมีลักษณะดังกล่าวแค่เพียง 1-2 ข้อ ก็แปลว่าได้ว่าน้องหมาของเราอยู่ในวัยทองแล้ว


วิธีดูแลน้องหมาวัยทอง

           ตรวจเช็คสุขภาพประจำปี สุนัขควรมีการตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อตรวจสอบหาปริมาณของเอนไซม์ เพราะปริมาณของเอนไซม์จะสามารถบอกได้ถึงการทำงานของระบบอวัยวะภายในได้เป็นอย่างดี

           ถ่ายพยาธิเป็นประจำ ควรถ่ายพยาธิทุกๆ 3 เดือน

           ให้ยาฉีดวัคซีนตามความเหมาะสม เพื่อป้องกันโรคต่างๆ เพราะเมื่อมีอายุมาก ภูมิคุ้มกันอาจจะไม่แข็งแรงนัก ดังนั้น จะต้องให้ความสำคัญที่จะต้องให้ภูมิคุ้มกันต่อต้านโรคที่ไม่พึงประสงค์ เช่น โรคไข้หวัด, หัดสุนัข,พิษสุนัขบ้าน

           สุขภาพในช่องปาก บางครั้งสุนัขอาจมีอาการกินอาหารน้องลงซึ่งอาจเกิดจากฟันฝุ ถ้าเกิดขึ้นต้องพาไปพบสัตวแพทย์ ทางป้องกันฟันผุที่ดีคือ ต้องแปรงฟันและขูดหินปูน จะช่วยลดอาการฟันผุลงไปได้บ้าง



ขอขอบคุณข้อมูลจาก โลกสัตว์เลี้ยง
https://pet.kapook.com/view1452.html

เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/367395282112966901/

Tuesday, March 10, 2020

วิธีดูแลสุนัขในหน้าร้อน เซฟเจ้าตูบให้ไกลจากภัยอากาศร้อน



          อากาศร้อนไม่เพียงแต่จะสร้างความทรมานให้คนเท่านั้น สัตว์เลี้ยงอย่างสุนัขก็ได้รับผลกระทบไปด้วยเช่นกัน มาดูวิธีป้องกันและดูแลสุนัขหน้าร้อนกันค่ะ

          อากาศร้อนของเมืองไทยนี่มันช่างร้อนและทรมานจริง ๆ ขนาดตัวเราเองยังร้อนจนต้องอาบน้ำวันละหลายรอบ แล้วเจ้าตูบที่มีขนปกคลุมทั้งตัวจะทรมานขนาดไหน ? แล้วไม่ใช่แค่แสงแดดอันเจิดจ้าและอากาศอบอ้าวที่เจ้าตูบจะต้องเผชิญ แต่ยังมีโรคอันตรายมากมายที่มาพร้อมกับความร้อนที่สามารถทำให้เจ้าตูบช็อกจนเสียชีวิตได้ วันนี้กระปุกดอทคอมเลยขอนำวิธีดูแลสุนัขในช่วงหน้าร้อน รวมถึงโรคสุนัขที่ต้องระวังในหน้าร้อนมาบอกให้รู้ จะได้นำไปใช้ดูแลเจ้าตูบได้ถูกวิธีเพื่อเตรียมรับมือกับหน้าร้อนที่กำลังจะมาถึงนี้

โรคที่มาพร้อมกับอากาศร้อน 

1. ฮีตสโตรก

          โรคฮีตสโตรก หรือ โรคลมแดด เป็นอาการที่อุณหภูมิร่างกายของสุนัขสูงผิดปกติ มักจะเกิดตอนที่สุนัขออกกำลังกาย วิ่งเล่นกลางแดด ช่วงกลางวันที่มีอุณหภูมิสูง หรือถูกปล่อยไว้ในรถนาน ๆ ฉะนั้นหากพาสุนัขออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน เจ้าของควรดูแลอย่างใกล้ชิด

2. ผิวหนังไหม้แดด

          ผิวของสุนัขก็สามารถโดนแดดเผาได้เหมือนกันกับคน โดยเฉพาะสุนัขที่มีขนสีขาวและบาง ซึ่งโรคนี้มักจะทำให้เกิดอาการคัน ผิวหนังลอก ซึ่งสามารถป้องกันได้โดยการทาครีมกันแดดสำหรับเด็กหรือสุนัขโดยเฉพาะ โดยทาบริเวณหาง หู จมูก และหลัง

3. เท้าไหม้

          ทางเดิน ถนน หาดทราย สามารถแผดเผาเท้าของเจ้าตูบให้ไหม้ได้ ถ้าจะพาพวกมันไปเดินเล่นควรพาไปตอนเช้าหรือตอนเย็นที่มีแดดอ่อน ๆ หลีกเลี่ยงช่วงที่มีแดดจัด นอกจากนี้ก่อนที่จะพาออกไปข้างนอกควรจะวัดอุณหภูมิเสียก่อน โดยใช้มือวางลงบนพื้นถนนหรือทางเดิน 30 วินาที ถ้าแสบมือแสดงว่ายังพาออกไปไม่ได้ ควรรอให้อากาศเย็นกว่านี้อีกหน่อย

4. ภาวะร่างกายขาดน้ำ

          เมื่อมีอุณหภูมิร่างกายสูง สุนัขจะระบายความร้อนด้วยการหอบหายใจ และนั่นก็อาจจะทำให้เกิดภาวะร่างกายขาดน้ำได้ ซึ่งสังเกตอาการได้จากจมูกและเหงือกจะแห้ง กล้ามเนื้ออ่อนแรง มีวิธีป้องกันก็คือนำน้ำใส่ถ้วยวางไว้บริเวณที่สุนัขสามารถกินได้สะดวก ส่วนการให้อาหารเหลวแทนอาหารเม็ดก็ช่วยได้เช่นกัน

5. แมลงและเห็บหมัด

          ช่วงหน้าร้อนจำนวนของเห็บ หมัด ยุงและแมลงต่าง ๆ จะพุ่งสูงเป็นพิเศษ สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดสเปรย์กันแมลง รวมถึงการรักษาความสะอาดและอาบน้ำให้สุนัขอย่างสม่ำเสมอ

6. โรคภูมิแพ้

          หมัด เชื้อรา เกสรดอกไม้ รวมถึงสารก่อภูมิแพ้อื่น ๆ มักจะมากับอากาศร้อน โรคภูมิแพ้จะทำให้สุนัขเกิดอาการคันตามผิวหนังอย่างรุนแรง ทั้งยังมีอาการไอ จาม และรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว ฉะนั้นควรหลีกเลี่ยงด้วยการไม่พาพวกมันเข้าใกล้พื้นที่ที่มีโอกาสได้รับเชื้อเหล่านี้


วิธีป้องกันและดูแล 

        1. ห้ามปล่อยสุนัขไว้ในรถตามลำพัง ถึงแม้ว่าจะเปิดกระจกไว้ก็ตาม เพราะอาจจะทำให้เกิดภาวะฮีตสโตรกได้
       
        2. นำน้ำใส่ชามหรือถ้วยเอาไว้ให้เจ้าตูบ ตั้งไว้ในร่ม หมั่นคอยเติมน้ำบ่อย ๆ อย่าให้ขาด ที่สำคัญต้องเป็นน้ำที่สะอาดและเย็น

        3. สุนัขที่มีอายุเยอะจะอ่อนไหวและเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ ที่มากับอากาศร้อนเป็นพิเศษ จึงควรระมัดระวังและคอยสังเกตอาการของสุนัขอยู่เสมอ
 
        4. ทำสระน้ำให้แช่น้ำเล่น โดยนำน้ำใส่สระยางพลาสติก ระดับน้ำไม่ต้องสูงสัก 2-3 นิ้วก็พอ นำไปไว้ในที่ร่มพร้อมเติมน้ำแข็งก้อนทำให้น้ำเย็น เพื่อช่วยลดอุณหภูมิร่างกายของสุนัขให้ลดลง

        5. ถ้าเจ้าตูบไม่สามารถอยู่ในห้องแอร์ได้ให้เปิดพัดลมแทน

        6. พาไปออกกำลังกายในตอนเช้าและตอนเย็นที่อากาศไม่ร้อนเท่านั้น

        7. ไม่ควรตัดขนสุนัขในหน้าร้อน เพราะขนของสุนัขจะช่วยรักษาอุณหภูมิร่างกายให้อยู่ในระดับปกติ ถ้าตัดหรือโกนจนสั้นผิวหนังของสุนัขจะโดนแดดเผาได้ง่ายขึ้น

          ถึงแม้เจ้าตูบจะมีกลไกรักษาอุณหภูมิร่างกาย แต่ในบางกรณีแล้วเจ้าตูบก็ไม่สามารถดูแลตัวเองได้ และเมื่อเกิดโรคหรือภาวะที่เป็นอันตรายพวกมันก็ไม่สามารถบอกเราได้อีกเช่นกัน ฉะนั้นเราซึ่งเป็นเจ้าของจึงต้องคอยสังเกตอาการ ถ้าพบอาการเหล่านี้ควรทำการรักษาเบื้องต้นและพาไปหาสัตวแพทย์ทันที

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Cesar’s way, Love that pet, Pet MD และ  Web MD

https://pet.kapook.com/view141814.html
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/5770305765669750/

Sunday, March 8, 2020

รับมือปัญหา น้องหมาชอบหอน


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

           คงไม่ดีแน่ ๆ หากน้องหมาของคุณชอบที่จะส่งเสียงเห่าหอนอยู่เป็นประจำ เพราะนอกจากจะสร้างความรำคาญให้เจ้าของแล้ว ยังอาจกระทบกระเทือนไปถึงบ้านใกล้เรือนเคียงจนกลายเป็นปมปัญหามองหน้ากันไม่ติดก็เป็นได้

           แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากหากคิดจะแก้ไขพฤติกรรมชอบหอน งั้นลองมาดูกันว่า การหอนของน้องหมามาจากสาเหตุได้บ้าง

            ความเหงา สังเกตได้ว่าสุนัขที่อยู่บ้านเพียงลำพังตัวเดียวนาน ๆ จะชอบหอน หรือหอนมากกว่าสุนัขที่ร่าเริง อันเนื่องมาจากความเหงาและความกลัวนั่นเอง

            สภาพแวดล้อม อาจเป็นไปได้ว่า การเริ่มต้นของเขาถูกสนับสนุนจากเจ้าของโดยไม่รู้ตัว ทำให้น้องหมาเข้าใจผิดไปว่าการเห่าหอนเช่นนี้เป็นพฤติกรรมที่ดี เช่น เมื่อเขาหอนแล้วคุณปล่อยเขาออกนอกบ้าน อาจด้วยความรำคาญหรืออื่นใดก็ตาม น้องหมาก็จะจดจำจนติดเป็นนิสัย

            การไม่ได้ออกกำลังกาย สุนัขที่ไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวร่างกายอย่างสม่ำเสมอทำให้พวกเขาเลือกที่ปลดปล่อยพลังบางส่วนด้วยการเห่าหอน แต่ถ้าไม่ได้ออกกำลังกายจนเคยชินแล้วล่ะก็ อาจจะหลับมากกว่าหอนก็ได้นะ

            การได้ยินเสียง อย่างที่รู้กันดีว่าประสาทสัมผัสของสุนัขนั้นไวมาก หากเขาได้ยินเสียงที่มีความถี่ต่ำหรือสูงกว่าปกติก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สุนัขหอน สังเกตได้จากเวลาที่ได้ยินเสียงแหลม ๆ หรือกังวานสุนัขมักจะหอน


จัดการอย่างไร น้องหมาชอบหอน

            พาออกกำลังกายบ้าง การพาน้องหมาไปเดินเล่น ออกกำลังกาย หรือพาไปพบปะสุนัขตัวอื่น ๆ จะช่วยให้เขารู้สึกดี และรู้จักการเข้าสังคม

            หากิจกรรมให้ทำ ยามที่ต้องอยู่บ้านตัวเดียว อาจหาของเล่น หรือขนมขบเคี้ยวมาวาง หรือซุกซ่อนให้เขาได้หา เพื่อเป็นกิจกรรมดึงความสนใจในเวลาที่ไม่มีใครอยู่บ้าน

            สอนคำสั่ง เพื่อปรับพฤติกรรม ข้อนี้อาจต้องใช้ความอดทนและเวลา โดยเจ้าของต้องออกคำสั่ง "เงียบ" หรือ "อย่าหอน" ทุกครั้งที่น้องหมาเริ่มหอน และหากิจกรรมอย่างอื่นให้เขาทำ เช่น วางขนมบนจมูก ทำเช่นนี้น้องหมาจะหยุดหอน และหันมาสนใจขนมแทน เมื่อเขาหยุดหอนให้ทิ้งเวลาสักแป๊ป ก่อนจะให้ขนมเป็นรางวัล

           เอ้า...บ้านไหนที่กำลังประสบปัญหาน้องหมาชอบหอน (เกินพิกัด) ก็ลองนำไปปรับใช้กันดูจ้า

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
นิตยสาร PetManiakku.ac.th

https://pet.kapook.com/view13710.html
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/582653270523536946/

Saturday, March 7, 2020

การป้อนยาน้องหมาแบบง่าย ๆ


การป้อนยาน้องหมาแบบง่าย ๆ (Dogazine)
เรื่องโดย หนูเอื้อย, แมงมุม

          เคยรู้สึกบ้างไหมคะว่า เมื่อน้องหมาของเราต้องกินยานั้น ทำไม๊...ทำไม มันถึงได้ลำบากยากเย็นเสียจริง ๆ กว่าจะป้อนได้ก็เล่นเอาเหงื่อตกกันไปหลายหยดเลยทีเดียว ยิ่งบางตัวที่ดื้อ ๆ ไม่ยอมกินยาง่าย ก็ยิ่งปวดหัวไปกันใหญ่ วันนี้เราจึงนำวิธีป้อนยาน้องหมาแบบง่าย ๆ มาฝากกันค่ะ

วิธีการป้อนยาให้น้องหมาแบบง่าย ๆ มีดังนี้

          1. ในการให้ยาเม็ดทางปากแก่น้องหมา เมื่อจับน้องหมาอ้าปากได้ ให้เรารีบวางเม็ดยาลงที่ โคนลิ้น แล้วน้องหมาจะกลืนยาเม็ดลงคอไปเอง แต่หากวางยาเม็ดที่บริเวณปลายลิ้นหรือบริเวณอื่น ๆ ในช่องปาก น้องหมาจะสามารถขย้อนยาเม็ดนั้นอกมาแล้วคายทิ้งได้ ทำให้เสียยาไปโดยเปล่าประโยชน์

          2. การป้อนยาเม็ดด้วยมือนั้น เราจะต้องจับยาเม็ดใส่เข้าไปในปากของน้องหมา และต้องมีโอกาสสัมผัสกับน้ำลายของน้องหมาด้วย ซึ่งภายในน้ำลายนั้นอาจมีโรคติดต่อบางอย่างที่ติดถึงคนได้ โดยเฉพาะ "โรคพิษสุนัขบ้า" ที่มีอันตรายถึงตายเชียวนะคะ เพราะฉะนั้น ในกรณีที่เพื่อน ๆ จำเป็นต้องป้อนยาให้น้องหมาที่ไม่คุ้นเคย ก่อนที่จะตัดสินใจป้อนยาเม็ดด้วยมือให้เขา เราก็ควรต้องทราบประวัติน้องหมาตัวนั้นบ้างนะคะ อย่างน้องก็ต้องมั่นใจว่า เขาไม่มีโรคติดต่อร้ายแรงที่อาจทำให้ตัวเราไม่ปลอดภัย

          3. หากเป็นไปได้ ทางที่ดีเราควรป้อนยาเม็ดให้น้องหมา โดยใช้เครื่องมือ เช่น Balling Gun หรือปากคีบ จะดีกว่า ซึ่งหากใช้เครื่องมือเหล่านี้เป็นตัวช่วย มือของคนป้อนจะไม่ต้องสัมผัสน้ำลายของน้องหมาเลย

          4. ไม่ควรใช้มือไปขยำหรือนวดที่คอของน้องหมา เพื่อช่วยให้เขากลืนยาเม็ด เพราะไม่ได้ก่อประโยชน์อะไรและอาจจะยิ่งทำให้น้องหมาไม่สามารถกลืนยาได้อีกด้วย

          5. ในการให้ยาเม็ดนั้น บางครั้งเราอาจไม่จำเป็นต้องป้อนยาให้น้องหมา แต่อาจจะนำยาเม็ดนั้นแทรกลงไปในอาหารที่น้องหมาชอบกิน และโปรดปราน เช่น นำยาเม็ดสอดไส้ไว้ในขนมปังหรือฮอทด็อก แล้วนำไปให้น้องหมากิน เป็นต้น

          6. ในการป้อนยาเม็ดให้น้องหมา หากมือไปสัมผัสกับน้ำลายของน้องหมา หลังจากป้อนยาเสร็จสรรพแล้ว ก็อย่าลืมล้างมือทันทีเพื่อรักษาความสะอาดและป้องกันโรค

          7.การให้น้องหมากินยาประเภทยาน้ำ ค่อนข้างจะง่ายกว่าการป้อนยาเม็ดมาก เพราะไม่จำเป็นต้องอ้าปากน้องหมาแต่อย่างใด สามารถป้อนได้ในขณะที่น้องหมายังถูกผูกปากอยู่ นอกจากนี้ยังสามารถที่จะใช้ช้อนชา หรือกระบอกฉีดยา หรือใช้เครื่องใส่ยาน้ำสำหรับป้อนฉีดเข้าไปในกระพุ้งแก้มให้น้องหมาได้อีกด้วย

          วิธีการง่าย ๆ ในการป้อนยาน้ำแก่น้องหมา คือ ให้ใช้หลอดฉีดยาสอดเข้าเข้าแก้ม สอดเข้าไปพอประมาณ แล้วค่อย ๆ ฉีดยา ไม่ใช้แรงฉีดมากจนเกินไป และไม่ควรพยายามจะฉีดยาลงคอโดยตรง เพราะแรงฉีดอาจทำให้น้องหมาอาเจียน หรืออาจทำให้เกิดการสำลักยาเข้าหลอดลมได้ ซึ่งเป็นอันตรายต่อน้องหมา

          8. ข้อสำคัญ เครื่องมือที่ใช้ใส่ยาสำหรับป้อนนั้น ไม่ควรทำด้วยวัสดุประเภทแก้ว หรือสิ่งที่แตกง่าย เพราะว่าน้องหมาอาจจะกัดหรือดิ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดการหล่นแตก หรืออาจจะบาดปากน้องหมาหรือบาดมือได้

Tip การเก็บรักษายา

          เมื่อได้รับยามาจากสัตวแพทย์ครั้งใด ต้องตรวจสอบดูเสมอว่าได้รับยาที่ถูกต้องหรือไม่ และเมื่อนำยากลับมาที่บ้านแล้วก็ต้องเก็บรักษาให้ถูกวิธีด้วย ซึ่งมีวิธีปฏิบัติง่าย ๆ ดังนี้ค่ะ

           1. เก็บยาไว้ในสถานที่ซึ่งหยิบใช้ง่าย สะดวก มีอากาศถ่ายเท แต่ไม่ถูกแสงแดด หรือความร้อนมาก และไม่ควรอยู่ในบริเวณที่น้องหมาจะสามารถเขี่ยเอายามาเล่นได้

           2. ไม่ควรเก็บยาต่รางชนิดไว้ในซองเดียวกัน หรือภาชนะบรรจุเดียวกัน เพราะเวลาจะใช้มีหวังคงลืมไปแล้วว่ายาแต่ละอย่างรูปร่างหน้าตา สีสันอย่างไร เป็นอันหยิบผิดกันพอดี

           3. ก่อนใช้ยา อย่าลืมสังเกตทุกครั้งว่า ยามีการตกตะกอนหรือเปลี่ยนสีไปหรือไม่

           4. ตรวจดูวันหมดอายุของยาหรือวันที่รับยา ซึ่งเขียนไว้ที่ซองยา ก่อนหยิบมาใช้ทุกครั้ง

           5. ปิดฝาขวดหรือถุงยาให้สนิททุกครั้งหลังจากใช้ยา

วิธีการป้อนยาให้น้องหมาด้วยมือ

          หากจะป้อนยาให้น้องหมาด้วยมือนั้น สามารถปฏิบัติตามหลักดังนี้ค่ะ

          เริ่มต้นโดยใช้มือข้างไหนก็ได้ ขึ้นอยู่กับความถนัด จับหัวน้องหมาเอาไว้ สมมติว่าใช้มือขวา ในการจับหัวน้องหมา เราก็ใช้ฝ่ามือข้างขวาคว่ำลง และจับคร่อมตรงสันจมูก ให้สันจมูกอยู่ระหว่างนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วที่เหลือทั้ง 4 นิ้ว ปลายนิ้วทั้ง 5 นิ้วอยู่บริเวณริมฝีปากของน้องหมา จากนั้นออกแรงนิ้วทั้งหมดกดลงบริเวณริมฝีปากทั้งสองข้าง อย่างแรงมากนะคะ แต่ต้องให้แรงพอที่จะทำให้ริมฝีปากนั้นกดลงกับเหงือกและฟัน ก็จะทำให้น้องหมายอมอ้าปากได้

          เมื่อน้องหมาอ้าปากแล้ว เราก็ใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางของมือซ้ายคีบยาเม็ดขึ้นมา ค่อย ๆ นำไปวางลงที่โคนลิ้นของน้องหมา หลังจากนั้นให้รีบชักมือออกพร้อมกับผ่อนแรงกดของมือขวาเพื่อให้น้องหมาหุบปาก แล้วใช้มือซ้ายช่วยจับไม่ให้น้องหมาอ้าปากขย้อนยาเม็ดดังกล่าวออกมาด้วย อาจสังเกตดูได้ว่าน้องหมากลืนยาลงไปแล้วหรือไม่ โดยดูที่คอของน้องหมา จะสามารถเห็นท่าทางของการกลืน

          เป็นอย่างไรกันบ้างคะ หวังว่าคงช่วยเพื่อน ๆ ทุกคนคลายกังวลได้บ้าง หากจำเป็นต้องป้อนยาให้น้องหมาตัวโปรดในครั้งต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม หากจะป้อนยาให้น้องหมา ก็ต้องป้อนด้วยความระมัดระวังเสมอ ไม่เช่นนั้นแล้ว น้องหมาอาจเกิดอันตรายแทนที่จะกินยาแล้วหายจากโรคนะคะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

https://pet.kapook.com/view17801.html
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/345229127688097341/

Wednesday, March 4, 2020

เมื่อ.... น้องหมา ชอบงับ (เท้า)



เมื่อ.... น้องหมา ชอบงับ (เท้า) (thaidogcenter)

          ขั้นแรก คือการนิ่ง สยบความเคลื่อนไหว เมื่อน้องหมามางับคุณ ไม่ว่าจะแรงหรือเบา เล่น ๆ หรือเอาจริง ก็เป็นนิสัยที่ไม่ถูกไม่ควร วิธีแก้คือ คุณต้องนิ่ง หยุดการเล่นทั้งหมด ทำทีเป็นเมินเฉย ให้น้องหมารู้ว่า การงับคุณ จะทำให้การเล่นระหว่างคุณกับเค้าเป็นอันยุติลง หรือถูกเมินใส่ ความสนุกจะหายไป ต่อไปเค้าจะเรียนรู้ และเลิกงับไปเอง

          สำหรับวิธีนี้ควรใช้ควบคู่ไปกับ คำสั่ง "อย่า" พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เด็ดขาด เค้าจะรู้ว่า คุณดุเค้าอยู่

          ขั้นที่สอง คือ หาของเล่นที่เหมาะแก่การงับ ไม่อ่อนจนเกินไป ไม่แข็งจนเกินไป และไม่ควรดึงแรง ๆ ขณะที่เค้ากัดอยู่ เพื่อสุภาพของฟัน

          หากฝึกฝนอย่างนี้เป็นประจำตั้งแต่ยังเล็ก เชื่อแน่ว่า น้องหมาแสนรักของคุณจะเลิกพฤติกรรมชอบงับ(เท้า) ได้อย่างแน่นอนจ้า

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

https://pet.kapook.com/view11836.html
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/1071927148784237222/