Monday, June 29, 2020

น้ำนมแม่สุนัข สำคัญอย่างไร ?


น้ำนมแม่สุนัขสำคัญอย่างไร (dogloverzone)

          ลูกสุนัขแรกคลอด มีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องได้รับน้ำนมจากแม่สุนัข โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 24-72 ชั่วโมงแรกซึ่งจะเป็นนมน้ำเหลือง (Colostrum) โดยที่เราจะสังเกตได้ว่านมน้ำเหลืองนั้นจะมีสีค่อนข้างเหลืองและข้น ในขณะที่น้ำนมปกตินั้นจะเป็นสีขาวใส

          เหตุที่นมน้ำเหลืองมีความสำคัญสำหรับลูกสุนัขมากก็เนื่องจากภูมิคุ้มกันโรคต่าง ๆ ที่สร้างจากตัวแม่สุนัขเองจะสามารถถ่ายทอดมายังลูกสุนัขได้โดยอาศัยการผ่านทางนมน้ำเหลืองนี้ถึง 80 % และส่วนที่เหลือของภูมิคุ้มกันอีกเพียง 20% ได้ผ่านจากแม่มาสู่ลูกสุนัขแล้วในช่วงที่แม่สุนัขตั้งท้อง ทราบแบบนี้แล้ว ใคร ๆ ที่มีแม่สุนัขลูกอ่อน ก็อย่าลืมจับลูกสุนัขไปทานนมน้ำเหลืองในช่วง 2-3 วันแรกให้ได้นะคะ

          ในขณะเดียวกันเมื่อพ้นจาก 3 วันแรกภายหลังการคลอดไปแล้ว นมน้ำเหลืองก็จะค่อย ๆ หมดไป แม่สุนัขก็จะเริ่มสร้างน้ำนมปกติออกมา โดยภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากนมน้ำเหลืองนี้ ก็จะสามารถช่วยทำให้ลูกสุนัขได้รับภูมิคุ้มกันโรคจากแม่สุนัขและสามารถนำมาใช้กับตัวลูกสุนัขเองได้เลย ซึ่งภูมิคุ้มกันแบบนี้จะเรียกกันว่าภูมิคุ้มกันแบบรับมา(Passive Immunity)

          และเมื่อลูกสุนัขมีอายุ 6-8 สัปดาห์ขึ้นไป ภูมิคุ้มกันโรคที่ได้รับจากแม่สุนัขนี้ก็จะค่อย ๆ ลดลงและหมดไป ทำให้ตัวลูกสุนัขจะต้องเริ่มสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่าง ๆ ด้วยตัวเอง จึงเป็นสาเหตุให้เจ้าของสุนัขทุกท่านจำเป็นที่จะต้องพาลูกสุนัขไปทำวัคซีนเข็มแรกเมื่อลูกสุนัขมีอายุ 6-8 สัปดาห์ขึ้นไปตามความเหมาะสมของแต่ละบ้าน

          โดยลูกสุนัขควรจะทานนมจากแม่สุนัข  ทุก 2-3 ชั่วโมงในช่วงสัปดาห์แรก ๆ ซึ่งน้ำนมก็จะใช้เป็นแหล่งของการให้พลังงาน และ สารอาหารต่าง ๆ ให้กับลูกสุนัขต่อมาเรื่อย ๆ จนกว่า ลูกสุนัขจะเริ่มทานอาหารเม็ดได้เอง  น้ำหนักตัวของลูกสุนัขโดยเฉลี่ยจะต้องขยับขึ้น 5-10 % ของน้ำหนักตัวต่อวัน

          ทั้งนี้ หากลูกสุนัขไม่ได้รับน้ำนมเพียงพอ อาจส่งผลให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้ง่าย (Hypoglycemia)  โดยที่ภาวะของน้ำตาลในเลือดต่ำนี้ เป็นหนึ่งในสาเหตุหลัก ๆเลยทีเดียวที่ส่งผลให้ลูกสุนัขเสียชีวิตในช่วงแรก ๆของการเลี้ยง อาการของลูกสุนัขที่เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำมักจะสังเกตเห็นได้ว่า ลูกสุนัขมักจะนอนนิ่ง ๆ ไม่ยอมเคลื่อนตัวไปไหน ลูกสุนัขบางตัวก็จะส่งเสียงร้องตลอดเวลา

          ส่วนรายที่เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำอาจแสดงอาการรุนแรงพบการเต้นของหัวใจช้าลง หายใจลำบาก ในบางรายถึงกับชักและเสียชีวิตได้  ขณะที่มีสาเหตุหลักอื่น ๆ ที่สามารถส่งผลให้ลูกสุนัขเสียชีวิตได้อีกในช่วงสัปดาห์แรก ๆ หลังคลอด เช่น

          1) ภาวะอุณหภูมิในร่างกายลูกสุนัขต่ำ(Hypothermia) ร่างกายของลูกสุนัขในช่วง 2 อาทิตย์แรกจะยังไม่สามารถทำงานในการควบคุมอุณหภูมิในร่างกายให้อบอุ่นคงที่ได้เป็นปกติ จึงมีความจำเป็นที่เจ้าของสุนัขจะต้องกกไฟ หรือให้ความอบอุ่นให้เพียงพอกับลูกสุนัข และเมื่อพ้น 2 สัปดาห์แรกไปแล้ว ร่างกายลูกสุนัขจึงจะสามารถทำงานในการควบคุมอุณหภูมิในร่างกายได้ตามปกติ

          2) ภาวะการติดเชื้อด้วยโรคต่าง ๆ ของลูกสุนัข (Infection)

          เมื่อทราบอย่างนี้แล้วเจ้าของที่มีลูกสุนัขเพิ่งคลอด  อย่าลืมพาลูกสุนัขไปทานนมแม่ในช่วง 2-3 วันแรก เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงเต็มศักยภาพให้แก่สุนัขตั้งแต่ยังเล็ก ๆ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
dogloverzone.com
https://pet.kapook.com/view11699.html
cr. pic.  https://www.pinterest.com/pin/41939840267560931/

Saturday, June 27, 2020

มะหมากับเด็กๆ



เด็กกับสุนัข (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์)

          ไม่ใช่ สุนัข ทุกตัวจะเหมาะสมกับเด็ก และไม่ใช่เด็กทุกคนจะเหมาะสมกับ สุนัข ถ้าเด็กๆ มีอายุต่ำกว่า 6 ปี คุณควรใช้เวลาพิจารณาสุนัขให้มากก่อนที่จะซื้อ สุนัข ตัวใหม่ สุนัขตัวใหญ่ซึ่งเป็นสายพันธุ์ดุหรือใช้สำหรับต่อสู้ควรหลีกเลียงเอาไว้ เพราะ สุนัข เหล่านั้นอาจทำร้ายเด็กๆ ได้ เช่นเดียวกับไม่ควรเลือก สุนัข ที่เห่ามากเกินไปเช่นกัน

          สำหรับเด็กที่อายุ 7 ปีขึ้นไป เด็กบางคนเริ่มที่จะพัฒนาความผูกพันกับ สุนัข เขาจะมีความสุขมากเมื่อได้อุ้ม สุนัข ของเขาครั้งแรก สุนัข สามารถสอนให้เขารู้จักภาระหน้าที่ มีความอดทนมากขึ้น มีอารมณ์ร่วมและมีความสงสาร แต่ไม่ใช่ว่าเด็กๆ จะมีความสามารถดูแลสุนัขของเขาได้อย่างสมบูรณ์ พ่อ-แม่ควรช่วยเขาดูแลด้วย

          การนำ สุนัข เข้ามาในครอบครัวที่มีเด็กๆ อยู่

          เมื่อคุณนำสุนัขเข้ามาในครอบครัวของคุณแล้ว คุณควรแน่ใจว่ามันมีเวลาพอที่จะปรับตัวก่อนที่จะถูกเด็กๆ นำไปเล่น ควรมีกฏสำหรับเด็กๆ ซึ่งเป็นกฏที่แสดงถึงความห่วงใย ความกังวลในสุนัขตัวใหม่ และคุณควรตัดสินใจเรื่องที่กินและที่นอนของ สุนัข ควรมีเตียงสำหรับสุนัขเอง ไม่ควรให้นอนกับเด็กๆ สิ่งสำคัญคือ คุณควรสอน วิธีการดูแลสุนัข ให้กับเด็กๆด้วย รวมทั้งคุณก็ต้องฝึกสุนัขเช่นกัน ควรให้เวลากับพวกเขาก่อนที่จะเกิดอุปนิสัยที่ไม่พึงประสงค์ในอนาคต

          การนำเด็กเข้ามาในครอบครัวที่มีสุนัขอยู่

          ส่วนมากมักเกิดความกังวลกันว่า สุนัข จะปฏิบัติตัวเช่นไรเมื่อมีเด็กๆ เข้ามาอยู่ในบ้าน พ่อ-แม่ส่วนมากมักห่วงความปลอดภัยของเด็กๆ ส่วนมากสุนัขจะเชื่องกับเด็กที่เข้ามาใหม่และไม่ค่อยจะสนใจเด็กเท่าใดนัก แต่จะไม่เป็นเช่นนี้หากพ่อ-แม่ต่างก็ให้เวลากับเด็กๆ เป็นพิเศษ

          ปัญหามักเริ่มเกิดตอนที่เด็กเริ่มหัดเดิน ซึ่งในขณะนั้นเด็กๆ ก็ยังคงไม่เข้าใจกฏของบ้านและไม่รู้จักปล่อยให้สุนัขอยู่ตามลำพัง สุนัขจะมีความสุขมากหากมีที่เป็นของมันเอง จงจำไว้ว่าเมื่อคุณนำเด็กเข้ามาอยู่ในบ้าน ทุกคนควรเอาใจใส่สุนัขมากๆ แล้วมันจะมีนิสัยที่ดีและเชื่องกับเด็ก

          ความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับ สุนัข

          สำหรับสุนัขแล้วทุกคนในครอบครัวเป็นส่วนหนึ่งของเขา แต่เมื่อมีเด็กเล็กๆเข้ามาอยู่ด้วย เขาจะรู้สึกว่าเด็กไม่ใช่เจ้านายของเขา ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาได้ เพราะเขารู้สึกว่าเด็กไม่ใช่เจ้านาย เขาจึงมักปฏิเสธคำสั่งของเด็กๆและอาจกัดเด็กๆได้ เป็นความจำเป็นที่พ่อ-แม่ควรเข้าใจสุนัขและมีการตักเตือนเพื่อป้องกันปัญหาที่กล่าวมาแล้ว หรือคุณอาจปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก็ได้ เช่น สัตวแพทย์ เป็นต้น

          ทำไม? สุนัข จึงกัดเด็กและจะป้องกันได้อย่างไร

          เมื่อสุนัขกัดผู้ใหญ่มันมักจะโดนทำโทษ แต่เมื่อกัดเด็กความกลัวที่จะโดนทำโทษก็จะลดลง แต่สุนัขก็จะมีการเตือนก่อนกัดเสมอ โดยแสดงออกทางสีหน้า ขา เพื่อทำให้เด็กๆเกิดอาการกลัว

          เป็นโชคไม่ดีที่เด็กๆ ไม่สามารถสื่อเป็นภาษาของสุนัขได้และสุนัขก็ไม่สามารถสื่อสารได้เช่นกัน ส่วนมากการที่สุนัขกัดเด็กๆ นั้นเกิดจากการผิดพลาดในการเอาใจใส่ของพ่อ-แม่ และผิดพลาดเกี่ยวกับการป้องกันสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งก็ไม่ใช่วิธีแก้ไขปัญหาอย่างดีเยี่ยมโดยการดุสุนัข

          หากว่าเด็กๆ โดนกัดและมีแผลเกิดขึ้น คุณควรทำความสะอาดแผลและใส่ยาให้เขา หากคุณสงสัยว่าสุนัขนั้นเป็นโรคพิษสุนัขบ้าหรือไม่ คุณควรติดต่อกับสถานพยาบาลใกล้บ้านคุณทันที ความกระทบเทือนทางจิตใจมีความรุนแรงกว่าทางร่างกาย หากเด็กเกิดอาการกลัวสุนัข คุณควรนำเขาออกมาให้ห่างจากสุนัขก่อน แล้วจึงค่อยๆให้เขาเข้าไปหาสุนัขอีกครั้งเมื่อเขาพร้อม แต่เราก็ไม่สามารถประมาณเวลาได้แน่นอนว่าเด็กๆจะหายกลัวเมื่อใด คุณควรหาผู้เชี่ยวชาญมาช่วย ถ้าเด็กๆของคุณไม่สามารถเขาหาสุนัขได้อีก

          เกี่ยวกับสุขภาพของผู้เลี้ยง สุนัข

          สุนัขและคนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข แต่ก็มีความเสี่ยงเล็กน้อยต่อการติดเชื้อ แต่ก็มีเพียงไม่กี่โรคเท่านั้น เช่น โรคพิษสุนัขบ้า ซึ่งคุณควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคนี้ให้กับสุนัขของคุณ เพราะหากคุณไม่ฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าให้กับสุนัขของคุณ หากสุนัขของคุณไปกัดลูกของคุณนั่นหมายถึงคุณต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมายเพื่อรักษาเขา เด็กๆของคุณอาจติดพยาธิตัวกลม และพยาธิปากขอได้จากอุจจาระของสุนัข ดังนั้นควรถ่ายพยาธิให้กับสุนัขด้วย เห็บและหมัดก็อาจกัดเด็กๆได้เช่นกัน คุณจึงควรกำจัดเห็บ-หมัดให้กับสุนัขด้วยเช่นกัน ไม่ควรให้เด็กนอนกับสุนัขเพราะอาจทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้

วิธีแก้ปัญหาง่ายๆสำหรับปัญหาเด็กกับสุนัข

          การเห่าทำให้เด็กตื่นจากการนอนหลับ

          วิธีแก้ปัญหา : ย้ายสุนัขให้ไกลออกไปจากสถานที่ที่มีเด็กนอนหลับอยู่ ปล่อยให้เด็กๆชินกับเสียงเห่าของสุนัข ต่อไปเขาก็จะสามารถหลับได้เอง

          สุนัขวิ่งเข้าไปหาเด็กทำให้เขาล้มลง

          วิธีแก้ปัญหา : ให้สุนัขอยู่ห่างๆ เด็กที่เพิ่งหัดเดิน สอนให้เด็กรู้จักวิธีการบอกให้สุนัขนั่งลงเวลาที่สุนัขมีอาการ ตื่นเต้นมาก

          สุนัข ขโมยอาหารของเด็กหรือขออาหารที่โต๊ะ

          วิธีแก้ปัญหา : ให้นำสุนัขออกจากครัวในขณะที่เด็กกำลังรับประทาน อาหาร มีอาหารของสุนัขเองไม่ควรนำอาหารบนโต๊ะให้

          สุนัข กระโจนใส่เด็กๆ

          วิธีแก้ปัญหา : ไม่ควรอนุญาตให้ทำเช่นนั้นกับใครๆทั้งสิ้น สอนให้เด็กรู้จักหลบและหันหลังให้สุนัขขณะที่สุนัขกระโดด หรืออาจสอนสุนัขตั้งแต่เด็กๆ

          สุนัข คำรามหรือขู่เด็ก

          วิธีแก้ปัญหา : ไม่ควรอดทนต่อการรุกรานของสุนัข และควรเข้มงวดกับการ ฝึกสุนัขให้มากขึ้น ให้คำแนะนำกับเด็กๆไม่ควรเคลื่อนย้ายชามอาหาร ของเล่นของสุนัข เพราะสุนัข ควรมีที่ประจำของเขาเอง รวมถึงที่นอนด้วย

          เด็กเล่นกับอุจจาระของสุนัข

          วิธีแก้ปัญหา : ให้สุนัขอยู่ข้างนอกและทำความสะอาดก่อนที่เด็กจะมาเล่น มีที่ให้สุนัขถ่ายอุจจาระซึ่งไม่ใช่ที่ที่อยู่ใกล้กับสถานที่เล่นของเด็กๆ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

https://pet.kapook.com/view2850.html
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/353180795754264435/

Tuesday, June 16, 2020

วิธีการ แก้อาการขนร่วงในสุนัข


สุนัขโดยส่วนใหญ่มักมีช่วงเวลาผลัดขน สุนัขที่ผลัดขนมาก เช่น เยอรมัน เชพเพิร์ด
จะผลัดขนทั้งปี แต่แม้กระทั่งสุนัขพันธุ์ที่ไม่ผลัดขน เช่น พุดเดิ้ล ก็มีบางครั้งที่ผลัดขน
เช่นกัน อากาศและฤดูมีผลต่อปริมาณการผลัดขนของสุนัข แต่สุขภาพโดยรวมของสุนัข
ก็เป็นปัจจัยหลักที่มีผลต่อปริมาณขนที่ร่วง สุนัขที่ผลัดขนมากกว่าระดับปกติของ
สายพันธุ์อาจเกิดจากปัญหาสุขภาพ คุณไม่อาจห้ามสุนัขให้ผลัดขน
แต่การรักษาสุขภาพสุนัขและจัดแต่งขนบ่อยๆ จะช่วยลดอาการขนร่วง

1. ลดอาการขนร่วงด้วยโภชนาการ

1.1.ให้อาหารคุณภาพดีแก่สุนัข หนทางหนึ่งในการลดอาการขนร่วงของสุนัขเริ่มจาก การให้อาหารที่มีประโยชน์ อาหารสุนัขราคาถูกมักมีส่วนผสมที่สุนัขย่อยได้ยาก
เช่น ข้าวโพดหรือเมล็ดพืช ควรมองหาอาหารสุนัขที่มีเนื้อเป็นส่วนผสมหลัก[1]
อาหารที่คุณภาพดีกว่าเดิมมักมีราคาแพงกว่า แต่มันดีต่อสุนัขของคุณด้วยหลายสาเหตุ
สารอาหารในอาหารสุนัขที่ทำจากเนื้อนั้นย่อยและดูดซึมได้ง่ายกว่า มันจึงช่วยให้สุนัขมี
สุขภาพดีและควบคุมการผลัดขนและผิวหนังแห้ง.[2] ควรระลึกไว้ว่า สารอาหารที่ดีช่วยลด
อาการขนร่วง แต่จะไม่ช่วยหยุดอาการขนร่วงอย่างถาวร.

สุนัขที่แพ้อาหารหรือไวต่อสิ่งกระตุ้นนั้นมีโอกาสขนร่วงจากอาหารอย่างมาก คุณอาจต้องลองให้อาหารหลายชนิดก่อนจะรู้ว่าอาหารชนิดไหนเหมาะกับสุนัขของคุณ ปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อขอคำแนะนำและข้อเสนอแนะ[3]

อย่าให้วิตามินเพิ่มแก่สุนัขเว้นแต่ว่าสัตวแพทย์จะแนะนำ “ไฮเพอร์วิตามิโนซิส” หรืออาการได้รับพิษจากวิตามินเพราะรับวิตามินมากเกินไปอาจก่อให้เกิดโรคร้ายแรงในสุนัขได้ [4]

1.2 ใส่น้ำมันมะกอกหรือน้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ลงในอาหารสุนัข. ให้เริ่มจากใส่ 1ช้อนชา
(5 มิลลิลิตร) ต่อน้ำหนัก 10 ปอนด์ (4.5 กิโลกรัม)[5] น้ำมันเหล่านี้มีกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่ง
จะช่วยรักษาผิวหนังอักเสบ ลดรังแค และบำรุงขนที่ปกคลุมอยู่

ร้านสัตว์เลี้ยงหลายแห่งจะขายยาบำรุงโอเมก้า 3 เป็นแคปซูลหรือผง ลองปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อดูว่าแบบใดเหมาะกับสุนัขของคุณ

คุณอาจเพิ่มกรดไขมันโอเมก้า 3 ให้สุนัขโดยให้แซลมอน ทูน่า หรือปลาชนิดอื่นที่มีกรดไขมันมากเป็นอาหาร[6] หนังปลานั้นดี แต่อย่าให้ก้างปลา เพราะมันอาจแตกออกเป็นชิ้นและทำให้สุนัขสำลักได้.[7]

1.3 ลองให้สุนัขกิน “ของว่าง” ของมนุษย์เป็นบางครั้ง. แอปเปิลหั่นบาง (เอาเมล็ดออก
เพราะเมล็ดมีส่วนผสมของไซยาไนด์ที่อาจสะสมในระบบร่างกายของสุนัขได้) กล้วย
และแตงกวา หรือแม้แต่เนื้อไม่ติดมันปรุงสุก (ไม่มีกระดูก) ล้วนแต่เป็นอาหารที่มีความ
ชุ่มชื้นเยอะ ช่วยให้สุนัขไม่ขาดน้ำ อาหารเหล่านี้ยังมีสารอาหารที่ช่วยให้ขนสุนัขนุ่มลื่น
และเงางาม ลดอาการขนร่วงด้วย แต่อย่าลืมว่า ควรให้อาหารทานเล่นแก่สุนัขคิดเป็นแค่
ร้อยละ 5 หรือร้อยละ 10 ของอาหารในแต่ละวันเท่านั้น ที่เหลือควรเป็นอาหารคุณภาพดี[8]

อาหารของมนุษย์หลายชนิดนั้นให้สุนัขทานได้ และมีประโยชน์ด้วย อย่างไรก็ตาม มีอาหารบางชนิดที่ไม่ควรให้สุนัข “เด็ดขาด” สมาคมป้องกันความรุนแรงในสัตว์ของอเมริกา
ได้เผยแพร่รายชื่ออาหารที่เป็นพิษต่อสัตว์ ดังนี้ อะโวคาโด ช็อกโกแลต องุ่น ผลิตภัณฑ์นม หัวหอม และเนื้อดิบ[9\

1.4 ให้น้ำที่สะอาดและใหม่แก่สุนัข. การขาดน้ำอาจนำไปสู่อาการผิวหนังแห้ง ซึ่งก่อให้เกิดอาการขนร่วงและอาการป่วย อย่าลืมให้น้ำที่สะอาดและใหม่แก่สุนัขมากเท่าที่มันต้องการ[10]

คุณอาจเพิ่มปริมาณการดื่มน้ำของสุนัขโดยให้อาหารที่มีความชุ่มชื้นแก่สุนัข อาหารสุนัขแบบเปียกมีความชุ่มชื้นถึงร้อยละ 78 เมื่อเทียบกับอาหารแห้งที่มีเพียงร้อยละ 10 อาหารเปียกจึงช่วยให้สุนัขได้รับน้ำเพียงพอ[11]


2. ลดอาการขนร่วงด้วยการจัดแต่งขน

แปรงขนสุนัขเป็นประจำ. การหวีขนช่วยกำจัดขนส่วนเกิน ช่วยไม่ให้ขนพันกัน และช่วยให้ขนสุนัขได้รับน้ำมันจากผิวหนังอีกครั้ง[12] คุณสามารถใช้แปรงขนหมู แปรงขนลวด หรือแปรงคราดก็ได้ ขึ้นอยู่กับลักษณะของขนสุนัข[13]

แปรงขนหมูนั้นเหมาะกับสุนัขขนสั้น และขนนุ่ม เช่น พันธุ์เทอร์เรีย ปั๊ก และเกรย์ฮาวด์
แปรงประเภทนี้เหมือนแปรงขนหมูที่มนุษย์ใช้.

แปรงขนลวดเหมาะกับสุนัขขนยาวปานกลางหรือขนหยิก เช่น รีทรีฟเวอร์
ฃค็อกเกอร์สเปเนียล และเซนต์เบอร์นาร์ด แปรงเหล่านี้จะมีขนลวดขนาดเล็ก สั้นและ
มีซี่ถี่

แปรงคราดเหมาะกับสุนัขขนยาวและมีชั้นขนด้านในหนา เช่น คอลลี่ เยอรมันเชพเพิร์ด
และเชาเชา เมื่อซื้อแปรงคราด ควรดูให้แน่ใจว่าซี่แปรงมีความยาวเท่าขนของสุนัข
เพื่อที่แปรงจะได้กำจัดเส้นขนด้านในที่ตายแล้ว

ใช้อุปกรณ์แปรงขนสำหรับสุนัขที่ผลัดขนมาก ใช้อุปกรณ์แปรงขนก่อนฤดูใบไม้ผลิมาถึง เพราะขนสุนัขในช่วงฤดูหนาวจะเริ่มร่วง และใช้อีกครั้งในฤดูใบไม้ร่วงเมื่อขนสุนัขจะเริ่มขึ้นในฤดูหนาว สุนัขที่อาศัยอยู่ในบ้านเกือบตลอดหรือตลอดเวลาอาจผลัดขนทั้งปี.[14]
สำหรับสุนัขที่มีขนสั้น คุณสามารถใช้หวียางแกงเพื่อแปรงขน สุนัขที่มีขนยาวหรือหนาอาจต้องใช้เครื่องมือเช่นแปรงคราดเพื่อคลายเส้นขนที่พันกันหรือใช้ใบมีดเพื่อรูดขนร่วง[15]
อาบน้ำให้สุนัขเป็นประจำ การอาบน้ำเป็นประจำจะทำให้ขนที่ไม่แข็งแรงร่วงลงในอ่างอาบน้ำ (หรือข้างนอก) แทนที่จะเป็นเฟอร์นิเจอร์ของคุณ อย่างไรก็ตาม การอาบน้ำมากๆ จะทำให้ผิวแห้ง และขนร่วง ลองศึกษาเกี่ยวกับสายพันธุ์สุนัขของคุณเพื่อดูตารางการอาบน้ำที่เหมาะสม หรืออาจปรึกษาสัตวแพทย์ก็ได้.
การใช้ไดร์เป่าขนหลังอาบน้ำจะช่วยได้มากหากสุนัขมีขนยาว ใช้ความร้อนระดับต่ำสุด (หรือลมเย็น หากมี) เช็ดขนให้แห้งด้วยผ้าขนหนูก่อน แล้วจึงใช้ไดร์เป่าเพื่อกำจัดขนที่ร่วง.[16]

ควบคุมเห็บหมัด.
สุนัขที่มีปัญหาเห็บหมัดจะเกาไม่หยุด ทำให้ขนร่วง การป้องกันไม่ให้สุนัขมีเห็บหมัดจะช่วยให้ผิวสุนัขไม่ระคายเคือง ไม่มีรังแค และขนร่วงมากเกินไป[17]


คำเตือน


การเลียเท้าหรือหน้าบ่อยๆ หรืออย่างต่อเนื่องอาจทำให้
ขนร่วงมากขึ้นและอาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรง ควรไปพบสัตวแพทย์ทันที

ควรพาสุนัขที่มีจุดที่ขนโล้น ผิวหนังแตก มีรอยแผลเปิด
หรือขนแห้งไปพบสัตวแพทย์โดยด่วน เพราะอาการเหล่านี้
อาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรง





สัตวแพทย์
บทความนี้ร่วมเขียนโดย Pippa Elliott, MRCVS ดร.เอลเลียต, BVMS, MRCVS เป็นสัตวแพทย์ที่มีประสบการณ์การผ่าตัดและช่วยเหลือสัตว์มากว่า 30 ปี เธอจบปริญญาด้านการผ่าตัดและให้ยาสัตว์จากมหาวิทยาลัยกลาสโกว์ในปี 1987 และทำงานในคลินิกสัตวแพทย์ที่บ้านเกิดมากว่า 20 ปี

ข้อมูลอ้างอิง
3. https://www.aspca.org/pet-care/dog-care/shedding



Saturday, June 13, 2020

7 วิธีเก็บอึสุนัขง่าย ๆ สะดวกสบาย ไม่ต้องง้อถุงพลาสติก


          7 วิธีเก็บอึสุนัข ด้วยของใช้หาง่ายใกล้ตัว มาดูกันดีกว่าว่านอกจากถุงพลาสติกแล้ว เรายังใช้อะไรเก็บอึสุนัขได้อีกบ้าง แล้วหลังจากเก็บเสร็จแล้ว จะเอาไปทิ้งไว้ที่ไหนดี ?

          อึสุนัข ถือเป็นเรื่องเล็ก ๆ ที่เซนซิทีฟ เพราะถ้าหากเราปล่อยทิ้งไว้ไม่เก็บ อาจจะส่งกลิ่นเหม็นรบกวน จนผิดใจกับเพื่อนบ้านได้ ฉะนั้นจึงถือเป็นหน้าที่ของผู้เลี้ยงทุกคนที่ต้องคอยดูแลอึสุนัขของคุณให้ดี ซึ่งปกติแล้วทาสหมาส่วนใหญ่มักจะพกถุงพลาสติกติดตัวไว้เวลาพาสุนัขไปเดินเล่นเสมอ ทว่าในช่วงที่ทุกคนหันมาใส่ใจโลก สนใจสิ่งแวดล้อม ด้วยการลดใช้ถุงพลาสติกแบบนี้ หลายคนคงสงสัยว่า ถ้าหากไม่ใช้ถุงพลาสติกแล้ว เราจะใช้อะไรเก็บอึสุนัขได้บ้าง ฉะนั้นวันนี้กระปุกดอทคอมก็เลยถือโอกาสรวบรวมวิธีเก็บอึสุนัขง่าย ๆ ด้วยของใช้ใกล้ตัวมาฝาก จะมีอะไรบ้าง ลองมาดูกันค่ะ

1. ที่เก็บอึสุนัข

          แน่นอนว่าวิธีที่ง่าย สะดวก และรวดเร็วที่สุด คงหนีไม่พ้นการใช้ที่เก็บอึสุนัข เพราะไม่ว่าจะในบ้าน นอกบ้าน แค่มีไอเทมนี้ก็จัดการกับอึสุนัขได้อยู่หมัด ที่สำคัญช่วยให้เราไม่ต้องก้ม ๆ เงย ๆ ลงไปเก็บด้วยมือตัวเอง แถมยังล้างทำความสะอาดง่าย แค่ฉีดน้ำล้างทั้งคราบและกลิ่นก็หายเกลี้ยงแล้ว

2. ฝังกลบ

          ฝังกลบแทนเก็บก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่เข้าท่า โดยเวลาเราพาสุนัขเดินเล่นในสวน ให้พกพลั่วติดตัวไปด้วย พอสุนัขอึเมื่อไร ก็เอาดินกลบ หรือฝังลงดินเมื่อนั้น ง่าย ๆ แค่นี้ก็จะช่วยให้เรากำจัดอึสุนัขได้แบบไม่เป็นภาระ ไม่ต้องหิ้วกลับบ้าน และไม่ส่งกลิ่นเหม็นกวนใจแล้ว

3. ทิ้งลงชักโครก

          หลังจากใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ เก็บอึสุนัขเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้นำมาเทลงในชักโครก แล้วกดเหมือนตอนเราทำธุระปกติ เท่านี้ก็จะช่วยจัดการปัญหาอึสุนัขได้อยู่หมัด ไม่ต้องใส่ลงในถังขยะ และไม่ส่งกลิ่นเหม็นอีกต่อไป

4. หนังสือพิมพ์

          ใครไม่อยากใช้ถุงพลาสติกเก็บอึหมา แต่ก็ไม่อยากล้างพลั่วหรือที่เก็บอึสุนัขบ่อย ๆ ขอแนะนำให้ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์แทนจะดีที่สุด เพราะนอกจากจะได้รับทุกวันและใช้งานง่ายแล้ว ยังย่อยสลายเองตามธรรมชาติได้อีกด้วย

5. สเปรย์แช่แข็ง

          อีกหนึ่งวิธีจัดการอึสุนัขง่าย ๆ ได้แก่ การฉีดฟรีซสเปรย์ หรือสเปรย์แช่แข็ง เพราะจะทำให้ก้อนอึแข็งตัว จนหยิบเก็บได้ง่าย ไม่เลอะติดอุปกรณ์ แถมช่วยยับยั้งกลิ่นไม่พึงประสงค์ไปในตัวด้วยนะ

6. ทำปุ๋ยหมัก

          นอกจากมูลวัว มูลควายแล้ว อึของสุนัขก็นำมาทำปุ๋ยหมักได้เหมือนกัน ฉะนั้นเพียงแค่เราหาซื้อถังหมัก หรือถังขยะแยกต่างหากมาสักใบ จากนั้นทุกครั้งเวลาสุนัขอึก็เก็บมาใส่ไว้ในนี้ รวมกับพวกขยะเศษอาหารอื่น ๆ ก็จะทำให้เรามีปุ๋ยไว้ใช้งานง่าย ๆ พร้อมทั้งกำจัดอึและเศษขยะไปได้ในตัวด้วย

7. ห้องน้ำในบ้าน แผ่นรองอึ

          สำหรับคนที่เลี้ยงสุนัขพันธุ์เล็ก แทนที่จะพาไปอึข้างนอกให้วุ่นวาย ขอแนะนำให้สร้างห้องน้ำในบ้านให้สุนัข โดยเลือกพื้นที่เหมาะ ๆ แล้วปูแผ่นรองอึเอาไว้ ฝึกให้สุนัขมาขับถ่ายที่นี่ตั้งแต่เด็ก หมั่นล้างทำความสะอาดเป็นประจำ รับรองต่อไปนี้เรื่องอึสุนัขจะไม่กลายเป็นปัญหากวนใจแน่นอน

          นอกจากการเก็บอึสุนัขไปทิ้งจะช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อโรคแล้ว ยังช่วยลดความไม่น่าดู ลดกลิ่นเหม็นกวนใจ และไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนด้วย ดังนั้นคราวหน้าคราวหลัง ถ้าเจออึสุนัขในบ้าน หรือพาสุนัขไปเดินเล่นในสวน ก็อย่าลืมพกอุปกรณ์ไปเก็บอึเสมอด้วยนะคะ

ขอบคุณข้อมูลจาก familyhandyman และ dogster

Thursday, June 11, 2020

ขูดหินปูนให้สัตว์เลี้ยง...จำเป็นแค่ไหน ?



สรุปข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          กลิ่นปากอันไม่พึงประสงค์ของน้องหมาน้องแมว มักมาพร้อมกับคราบหินปูนสีเหลืองที่เกาะแน่นเต็มปาก ทั้งเหงือก และฟัน ซึ่งหากปล่อยไว้นานเกินเยียวยา ก็จะนำมาซึ่งปัญหาในช่องปากอันแสนทรมานไม่ต่างจากคน ดังนั้น วันนี้เราจึงขอชวนเพื่อน ๆ มาสำรวจสุขภาพช่องปากของสัตว์เลี้ยงกันค่ะ

          สุขภาพช่องปากเป็นสิ่งหนึ่งที่สามารถบอกได้ว่าสัตว์เลี้ยงมีสุขภาพอย่างไร ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ยากที่บ้าน และทำได้บ่อยเท่าที่เราต้องการ ซึ่งการได้เปิดปากสุนัข และเล่นกับเขานั้น เป็นการสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างกัน หากกระทำจนคุ้นเคย เขาก็จะไม่ต่อต้าน และช่วยดูแลรักษาความสะอาดช่องปากได้ไม่ยากด้วย

          ทั้งนี้ โครงสร้างฟันของสุนัข จะมีฟันน้ำนม 28 ซี่ ฟันแท้ 42 ซี่ ส่วนฟันน้ำนมของแมวมี 26 ซี่ ฟันแท้ 30 ซี่ โดยฟันของสุนัขจะเริ่มขึ้นเมื่ออายุได้ประมาณ 3-4 สัปดาห์ ขณะที่แมวจะเริ่มมีฟันขึ้นเมื่ออายุประมาณ 2-4 สัปดาห์ ส่วนฟันแท้สุนนัขจะเริ่มขึ้นเมื่ออายุประมาณ 4 เดือน ในแมวก็ประมาณ 4-7 เดือน ความแตกต่างของการขึ้นของฟันนั้นขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ด้วย

          สำหรับคราบหินปูนในช่องปากสัตว์เลี้ยงมักจะมองไม่เห็นในระยะเริ่มแรก ต้องอาศัยการย้อมสีชนิดพิเศษ ซึ่งหากมีจุลินทรีย์เกาะอยู่จะพบคราบสีชมพู ถ้ามีมากจะออกสีชมพูเข้ม ซึ่งหากคราบหินปูนดังกล่าว เกิดจากการสะสมของแคลเซียมคาร์บอเนต และแคลเซียมฟอสเฟตบนคราบจุลินทรีย์ และเมื่อใดก็ตามที่เราสามารถมองเห็นคราบเหลือง ๆ นั้น นั่นเหมายความว่า ถึงเวลาแล้วที่เราต้องนำสัตว์เลี้ยงมาขูดหินปูนกับสัตวแพทย์

          ในการขูดหินปูนสัตว์เลี้ยง จำเป็นต้องมีการวางยาสลบเพื่อความปลอดภัยในการทำทันตกรรม หรืออาจจำเป็นจะต้องนำสัตว์เหล่านั้นมาถ่ายภาพทางรังสีวิทยาเพื่อดูความรุนแรงของโรค หรือลักษณะของโครงสร้างที่ถูกทำลายไปว่ามากน้อยแค่ไหน

          ส่วนการดูแลสัตว์เลี้ยงก่อนที่จะต้องมาทำการรักษาโรคภายในช่องปากนั้น เราสามารถลดการเกิดคราบจุลินทรีย์ที่จะมาเกาะบนฟันและเหงือกได้ด้วยการดูแลง่าย ๆ ที่บ้าน ด้วยวิธีการเช็ดถูหรือล้างปาก ประกอบกับการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสัตว์เลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นยาสีฟันสำหรับสัตว์ (ไม่ควรใช้ยาสีฟันของคน ไม่ว่าจะเป็นของเด็กก็ตาม เนื่องจากสัตว์อาจได้รับพิษจากสารเคมีที่ไม่เหมาะสมในยาสีฟันได้) น้ำยาบ้วนปากสุนัข หรือแม้แต่ขนมขบเคียวที่ผสมเอนไซม์จำเพาะในการลดคราบจุลินทรีย์ได้

          อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เราจะปล่อยปัญหาเรื่องช่องปากสัตว์เลี้ยงจนกลายเป็นปัญหาใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น เหงือกอักเสบ เหงือกร่น ฟันโยก หรือฟันหลุด เราสามารถบรรเทาได้จากการเริ่มต้นดูแลช่องปากและฟันของสัตว์เลี้ยงตั้งแต่ยังเล็ก ๆ และหมั่นทำความสะอาดเหงือกและฟันของเขา ที่สำคัญอย่าทำให้สัตว์เจ็บและกลัว แต่จงให้คำชม กับสิ่งที่เขาให้ความร่วมมือด้วยนะคะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
THAILAND PET JOURNAL
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/70437475203199/